ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
“พระศิวะ” มหาเทพแห่งความรัก พระผู้สร้างความรักที่มองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ
ในวรรณกรรมฮินดู หากสตรีที่ยังไม่มีคนรักหรือยังไม่ได้แต่งงาน ประสงค์จะขอพรเรื่อง “ความรัก” ขอสามีที่เป็นคนดีมีความเพียบพร้อม มีความเหมาะสมทางจิตวิญญาณและกายภาพ (รวมทั้งเคมีและระดับศีล) ที่จะนำพาให้ชีวิตคู่นั้นยั่งยืนและประสบแต่ความสุขไปตลอดชีวิต ก็เห็นจะมีแต่องค์ “พระศิวะ” เท่านั้นที่จะประทานสามี (ผู้ชายดี ๆ) ได้ชัดเจนที่สุดแล้ว โดยในสังคมฮินดูจะมีพิธีกรรมเพื่อการขอสามี (ผู้ชาย) ที่สมบูรณ์แบบ (ประดุจองค์พระศิวะ ผู้มีรักแท้เป็นต้นแบบ) ในเดือนศฺราวณะ (กรกฏาคม - สิงหาคม) เพราะถือว่าเป็นเดือนที่พระศิวะเจ้าโปรดปรานที่สุด ต่อเนื่องไป 16 วันจันทร์/16 ครั้ง/16 เสี้ยวพระจันทร์ (ไวทิกทรฺศน 2021)
.
วรรณกรรม “มหากาพย์มหาภารตะ” (The Epic Mahābhārata) ภาค “อาทิบรรพ” (Adi Parva) มหาฤๅษีวยาสะ เล่าถึงเหตุการณ์อดีตชาติของ “นางเทราปตี” (Draupadī) ว่า แต่เดิมก่อนที่นางจะมาเกิดเป็นพระธิดาของท้าวทรุปัท นางเคยเป็นบุตรีของพระฤๅษีรูปหนึ่ง มีความงดงามและคุณสมบัติของกุลสตรีทุกประการ เธอปรารถนาจะได้ชายที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติ (และรักนางอย่างสุดหัวใจ) มาเป็นสามี จึงได้บำเพ็ญพรตทำพิธีขอสามีจากองค์พระศิวะ/พระอิษฎเทพ ด้วยความพากเพียรพยายาม จนพระศิวะพอพระทัยจึงได้เสด็จลงมาปรากฏพระวรกายต่อหน้านาง ครั้งนางได้เห็นก็ตกใจจนเลิ่กลั่กด้วยความดีใจ ทูลขอสามีด้วยเสียงสั่นละล่ำละลัก ขอสามีที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไปถึง 5 ครั้ง ในชาตินี้นางเทราปตีจึงได้ภารดาปาณฑพ (Pāṇḍava) ทั้ง 5 มาเป็นสามี พร้อมกันในคราวเดียวครับ
.
ในวรรณกรรม “กุมารสัมภวะ/กำเนิดกุมาร” (Kumārasambhava) ที่แต่งโดย “กาลิทาส” (Kālidāsa) ได้เล่าเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ขององค์พระศิวะ ผ่านรสชาติของวรรณกรรมอันสุดแสนโรแมนติกและอีโรติก ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ โดยมีความพินาศของมนุษย์และโลกจากการทำลายล้างของ “อสูรตาระกา” (Tārakāsura) เป็นเดิมพันครั้งใหญ่
.
“มหาตาระกาสูร ได้รับพรจากพระพรหมให้เป็นผู้ไม่ตาย แต่ก็มีข้อยกเว้นแนบท้ายในพรที่ประสาทให้ไว้ (ตามแบบฉบับของพระพรหม) ว่า จะตายได้เพราะบุตรที่กำเนิดจากองค์พระศิวะและพระศักติเท่านั้น ซึ่งในเวลาที่อสูรตารกะขอพร ก็เป็นเวลาเดียวกับที่พระศิวะยังครองรักอยู่กับพระนางสตี (Sati) ผู้เป็นความรักครั้งแรกและครั้งเดียวอยู่พอดีครับ
.
แต่เมื่อพระนางสตีได้วิ่งเข้ากองไฟจนสิ้นชีวิต ในเหตุการณ์ที่ท้าวทักษะประชาบดี (Dakṣa Prajapati) ผู้เป็นพระบิดาได้กล่าวดูแคลนพระศิวะผู้เป็นพระสวามี และยังไม่เชิญให้เข้าร่วมในพิธียัชญะ (Yagam) เมื่อสิ้นพระนางสตี พระศิวะได้แต่เศร้าโศกเสียพระทัย เป็นเวลายาวนาน
.
ทรงรำพันในท่ามกลางน้ำตาที่ไหลนองพระพักตร์ "...กาลนับจากนี้ไป ข้าจะจมลึกเข้าไปในห้วงระทมทุกข์จนสุดแห่งจักรวาลไปตลอดกาล ด้วยเพราะ "ความรัก" ของข้านั้นสูญสลายไปพร้อมกับนางอันเป็นที่รักของข้า "สตี" นางผู้พลีกายบูชาความรักแห่งข้า จักรวาลนี้จะไร้ซึ่งความรัก โลกจงดิ่งจมลงไปสู่ทะเลแห่งระทมไปตราบนานเท่านาน....”
.
ถึงแม้พระนางสตีได้กลับมาจุติเป็น “พระนางปารฺวตี/พระนางอุมา” ( Pārvatī/Umā) ธิดาของท้าวหิมวัต (Himavat) และนางเมนาวตี (Menavati) และยังระลึกถึงชาติแห่งรักเดิมได้เป็นอย่างดี แต่กระนั้น ก็มิได้ทำให้พระศิวะที่ยังรักมั่นเพียงหนึ่งเดียวกับพระนางสตี หันมารักและสนใจพระนางปารฺวตีเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเวลานั้นมหาตาระกาสูรก็ยังคงสนุกสนานเพลิดเพลินกับการเข่นฆ่าทำลายล้างผู้คนและเทวดาไปทั้งสามโลกครับ
.
“....ธิดาแห่งหิมวัต... เจ้าเป็นใคร ทำไมเข้าช่างละหม้ายคล้ายกับนางสตีของเรายิ่งนัก แต่อย่างไรก็ตามความรักของข้านั้นยังคงมั่นคง ยั่งยืนต่อนางสตีผู้เป็นประดุจดวงใจแห่งข้า เจ้าปราวตีเอ๋ย เจ้าช่างน่าไม่อาย ที่เอ่ยอ้างว่าเจ้านั้นคือนางสตีเมื่อภพชาติที่แล้ว ...ก็เมื่อความรักของข้ายังมิเคยจาง นางจะกลับมาเกิดเป็นเจ้าได้อย่างไร เจ้านี่ช่างน่าขยะแขยงยิ่งนัก ไสหัวไปจากข้า ไปให้ไกล เจ้าไม่ใช่นางสตี และ.....ข้าจะไม่มีวันรักเจ้า...."
.
"ข้าจะไม่มีวันรักเจ้า...ตลอดไป"
.
*** จักรวาลและมนุษย์กำลังจะสูญสิ้น เมื่อไร้ซึ่งความรักอันยิ่งใหญ่เกินจะพรรณนาจากองค์มหาเทพ
.
พระพรหมได้ขอให้พระนางปารฺวตีบำเพ็ญพรตขอสามีด้วยพิธีบูชาศักดิ์สิทธิ์จากองค์พระศิวะ แต่ก็ไร้ผล เพราะหัวใจขององค์มหาเทพนั้นดำดิ่งลึกลงไปในความดำมืดแห่งจักรวาล ปราศจากสิ้นแล้วซึ่งความรักทั้งปวงแล้ว เหล่าคณะเทพเจ้าขอให้ “พระกามเทพ” (Kāmadeva) (“พระมันมธะ” (Manmatha- ผู้ปลุกความปรารถนาในรักและใคร่) เทพเจ้าแห่งความรัก เสน่หาและแรงปรารถนา (ทางเพศ) ผู้มอบความสุขในแก่ชีวิต และมเหสีนามว่า “นางรตี” (Rati) เทวีแห่งความรัก แรงปรารถนา ตัณหาและความสุขแห่งเพศ) เทพอุ้มสมได้แผลงศรเบญจพฤกษาแห่งความรักที่หอมหวน คันศรปล้องอ้อยแห่งความหวานซึ้งตรึงใจ สายรั้งฝูงผึ้งแห่งความเพียรพยายามในรัก ซึ่งอย่างไรก็ไม่น่าพลาดเป้าที่จะนำพาให้พระศิวะหันกลับมารักพระนางสตีในพระชาติพระนางปารฺวตีได้
.
แต่คันศรแห่งรักของพระกามเทพนั้น มันใช้ได้แค่กับเหล่าเทพเจ้าและมนุษย์ สำหรับมหาเทพนั้น มันประดุจเข็มพิษที่แทงซ้ำเข้าไปในดวงใจอันแตกสลายของพระองค์อย่างเจ็บปวดอีกครั้ง น้ำพระเนตรไหลหลั่งด้วยความรักที่มั่นคงต่อพระนางสตีไม่เปลี่ยนแปลง นำไปสู่มหาโกรธา รุทรเนตรของพระองค์เบิกกว้าง เพลิงพิโรธเผาผลาญพระกามเทพจนเป็นจุลหายสิ้นไปจากจักรวาล
.
บัดนี้ ความรักและความปรารถนาทั้งปวงในจักรวาลได้มลายหายสิ้นไปแล้ว
.
*** คงมีเพียงเสียงสวดภาวนาอ้อนวอนเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนโยนและจริงใจ เพื่อขอให้พระศิวะกลับคืนมาสู่ความรัก จากที่ไกลแสนไกล เพียงแว่วเข้ามาส่องแสงสว่างในจิตใจที่มืดดับแห่งองค์มหาเทพอยู่เสมอเท่านั้น
.
*** ณ มหาอาศรมในดินแดนอันไกลโพ้น ที่ซึ่งเหล่านักบวชชายหญิงได้มารวมตัวกันเพื่อบำเพ็ญตบะ บูชาพระศิวะมหาเทพด้วยความรักและศรัทธา มีพราหมณ์มุนีรูปงามผู้หนึ่ง แวะเวียนเข้ามาเกี้ยวพาราสีนางปารฺวตี อดีตชาติของนางสตี ผู้ยังคงเทิดทูนบูชาพระศิวะด้วยความรักอันระทมอยู่เป็นนิจ
.
"...ปารฺวตีเอ๋ย เจ้าผู้งามเพียบพร้อม ใยเจ้ายังอาลัยอาวรณ์ในรักถึงองค์พระศิวะเจ้า ผู้ไม่เคยสนใจเจ้า ไม่เคยคิดถึงเจ้า ไม่เคยกล่าวถึงเจ้า ทั้งยังเกลียดชังเจ้า ไฉนเจ้ายังคงครองรักไว้ในหัวใจ ในเมื่อแดนมหาอาศรมนี้ เจ้าก็ยังมีข้า คนที่หลงรักเจ้ามาโดยตลอด เฝ้าดูแลทะนุถนอมเจ้า ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว..."
.
"... พี่พราหมณ์จ๋า ข้านั้นกำเนิดขึ้นมาจากอดีตชาติแห่ง "ความรัก" ของพระองค์ พาให้ข้านั้นยังคงรักและเทิดทูนองค์พระศิวะเจ้า ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปรผันไป ถึงพระองค์จะไม่รักข้า เกลียดชังข้า หรือแม้จะดูถูกเหยียดหยาม ขับไล่ไสส่งข้า...แต่ความรักของข้านั้น ก็ยังคงมอบถวายแด่องค์พระศิวะไปตลอดกาล ...."ข้ารักพระศิวะ..."
"...โอ้แม่ปารฺวตี เจ้านี่ช่างโง่เขลานัก ในยามนี้โลกกำลังวุ่นวาย วายร้ายมหาตารกะอสุราออกทำลายล้างไปทั่วสามโลก มหาเทพผู้ประสาทพรอันโง่เขลาก็ไร้ซึ่งแล้วด้วยพลานุภาพ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายดั่งคนบ้า ปล่อยให้เหล่าเทพเจ้าต้องต่อสู้กันตามมีตามเกิด โลกก็กำลังพินาศ ผู้คนล้มตายมากมาย คนเห็นแก่ตัวในความรักเช่นนี้ เจ้ายังคงรักได้ลงอีกเชียวหรือ..."
.
"...พี่พราหมณ์ อาจเป็นเพราะข้าเองที่หุนหันพลันแล่น ไม่ได้คิดให้ดีในชาติภพที่แล้ว บาปกรรมทั้งหลายอันเกิดจากตารกะอสูรนั้น มิได้เกี่ยวข้องกับองค์มหาเทพเลย มันเป็นความผิดของข้า ข้าได้ทำลายความรักของพระองค์ เพียงด้วยเพราะความเห็นแก่ตัวในความรักของนางสตีที่มีต่อพระองค์ ความผิดทั้งหลายนั้นจึงไม่ใช่เป็นของพระศิวะ แต่เป็นเพราะข้า ...พระองค์คือทุกสิ่งของข้า ความรักของข้า จะมอบถวายแด่องค์พระศิวะไปตลอดกาล ...."ข้ารักพระศิวะ"..."
.
"... เจ้านี่ช่างไร้สติเสียกระไร ศิวะมันเป็นใคร ไฉนเจ้าจึงรับความผิดบาปทั้งมวลของเขามาไว้ที่เจ้า อีกร้อยพันชาติ เจ้าจะระทมทุกข์อย่างแสนสาหัส อีกหมื่นแสนชาติ เจ้าจะถูกเผาไหม้ในนรกภูมิ วิญญาณของเจ้าจะมอดไหม้ไม่จบสิ้นไปตราบนานชั่วกาลแห่งจักรวาล เพียงเพราะเจ้ายังคงมีความรักให้กับมหาเทพผู้ไร้ซึ่งความเมตตา ไร้ซึ่งความรักและกำลังวิปลาสบ้าคลั่ง เพียงเพราะสูญเสียความรักของตน ... ทำอย่างกับว่าตนนั้นมีความรักเพียงผู้เดียว..."
.
"... พี่พราหมณ์ ท่านอย่าได้กล่าวดูถูกดูแคลนมหาเทพเลย ถึงความระทมทุกข์ของโลกทั้งหลายจะมาลงโทษที่ข้า จนวิญญาณของข้านั้นดับสูญไปตลอดกาล ขอเพียงแต่ให้ความรักของข้าที่มีอยู่นั้น ได้เข้าไปอยู่ในหัวใจขององค์มหาเทพแม้เพียงเสี้ยวนิด หากทุกอย่างจะดับสลาย ข้าก็ยินดี เพราะความรักของข้านั้น มอบถวายแด่องค์พระศิวะไปแล้วตลอดกาล ... "ข้ารักพระศิวะ"....”
.
".... เหนื่อยใจเจ้าปารฺวตีเอ๋ย...ข้าก็เพียรมาหาเจ้า มารักเจ้า มาดูแลเจ้าก็นานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่มีหัวใจให้แก่ข้าผู้เป็นพราหมณ์รูปงามแห่งอาศรมเหมือนกับนางอื่น ๆ เจ้ายังคงหลงใหลในมหาเทพตัวเน่าเหม็น ผมเผ้ารุงรังสกปรก สังวาลเป็นงูรัดน่ารังเกียจ อาภรณ์นั้นก็สาปเน่าด้วยหนังสัตว์เสือ ทั้งยังวิปลาส โง่เขลาไม่เหมาะที่จะเป็นมหาเทพ ในวันนี้ ไม่มีอะไรที่น่าเทิดทูนเหลือไว้ให้มวลมนุษย์ศรัทธาอีกเลย ทิ้งทั้งโลก ทำลายทั้งจักรวาล ไปพร่ำเพ้อถึงแต่ความรักของตนเอง น่าขยะแขยงยิ่งนัก มหาเทพผู้ครองสามภพองค์นี้
.
"...พี่พรหมณ์จ๋า ให้คำว่าร้ายของพี่พราหมณ์นั้นตกมากระหน่ำแก่ข้าเถิด พระองค์เป็นมากยิ่งกว่าที่พี่พราหมณ์ได้เอ่ยไว้ พี่พราหมณ์ไม่เคยเห็นหรอก ....แต่ข้าเคยได้เห็นนะ ข้าเคยสัมผัสในรักที่อบอุ่นของพระองค์เมื่อชาติภพที่แล้ว .....พี่ไม่เห็น ...พี่ก็จะไม่เข้าใจหรอก พระองค์เป็นมหาเทพแห่งความรักที่แท้จริง ในวันนี้อาจขาดเพียงแต่ความรักที่มากพอจะกลับไปเยียวยาความระทมทุกข์ในจิตใจของพระองค์... .แต่หากในวันใดวันหนึ่ง เมื่อพระองค์ได้กลับมาพบเจอกับความรักที่สูญหายไปอีกครา โลกก็จะกลับสู่สันติแลสงบสุข ข้าตั้งหวังเพียงว่า จะได้เห็น "ความรัก" ของพระองค์ที่คืนกลับมาด้วยปิติแห่งหัวใจรักในที่แห่งใดก็ได้ไปตราบนานแสนนาน เพราะความรักของข้านั้น มอบถวายแด่องค์พระศิวะไปแล้วตลอดกาล.."ข้ารักพระศิวะ"...”
.
“... พี่พราหมณ์จ๋า....ในหัวใจของข้ามีแต่พระศิวะมหาเทพ ข้ารักพระองค์ ข้ารักพระศิวะ ข้ารักพระศิวะ และจะรักไปจนสิ้นทิวาราตรี ไปจนสิ้นใจและกายอันเจ็บปวด ...แสนทรมาน นี้...
.
“...ข้าก็จะยังคงรักพระศิวะ...ตลอดไป...”
.
*** พราหมณ์หนุ่มที่สดับฟังอย่างชัดเจน และควรจะเศร้าเสียใจในความรักที่ไม่มีทางสมหวังของตนกับนางปารฺวตี กลับน้ำตาซึมไหลออกมาให้เห็นอย่างน่าฉงน ก้มหน้าหยุดนิ่งอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่เพราะคำสะบัดรัก ตัดเยื่อใยของนางปารฺวตี
.
พราหมณ์หนุ่มเอื้อนเอ่ยวจีเบา ๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือ "....ข้าก็รักเจ้า ...ข้ารักเจ้า....ข้ารักเจ้าเหลือเกินปารฺวตี ข้าจะรักและทะนุถนอมเจ้าไปตราบกาลจักรวาลสิ้นสลาย ความรักของเจ้าที่มีต่อข้านั้นช่างสวยงาม บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่นัก ....ความรักของเจ้าทำให้ข้าเรียนรู้ว่า หัวใจข้านั้นไม่ได้เข้าใจในความหมายแห่งรักเลยแม้แต่น้อย จริตแห่งความยิ่งใหญ่ ไม่ได้ช่วยให้ข้ามอบ "ความรัก" ที่แท้จริงให้แก่โลกและสรรพสัตว์เลยแม้แต่น้อย
.
....ความรักที่เสียสละของเจ้าต่างหากปารฺวตี คือ "ความรัก" ที่ทรงอานุภาพ ความรักของเจ้า.....ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
.
“....ข้ารักเจ้า และจะรักไปตลอดกาลเช่นเดียวกับที่เจ้ามอบความรักแก่ข้า เป็นนิรันดร..."
.
*** ร่างของพราหมณ์หนุ่มรูปงาม ได้กลับคืนมาเป็นองค์พระศิวะ มหาเทพที่หัวใจสลาย ได้ออกติดตามหา "ความรัก" ที่หายไปมาจนถึงมหาอาศรมแห่งนี้ ได้เห็นและเข้าใจในความรักแท้ที่พระนางปารฺวตีอดีตชาติแห่งพระนางสตีมอบให้ตลอดมา
.
เมื่อได้รู้ความจริงว่าเป็นใครที่มาลองหัวใจ นางก้มลงกราบที่พระบาทและคว้าพระหัตถ์อันแสนอบอุ่นที่หายไปในชาติปางก่อนนั้น มาแอบอิงไว้ที่พระปรางอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง
.
“...ข้ารักพระองค์ พระศิวะ...ในทุกทิวาราตรี”
“...ข้าก็แสนรักเจ้า ปารฺวตี ข้าขอรักเจ้าตลอดไป...”
.
.
*** ในงานวิวาหะพิธีวิวาหะอันแสนหวาน พระนางรติเทวีชายาแห่งกามเทพที่ต้องระทมทุกข์ในการสูญเสียผู้เป็นที่รัก ในขณะพิธีวิวาหะที่มีแต่ความสุข จึงได้ขอสามีคืนจากพระศิวะที่ได้เผลอทำลายพระกามเทพด้วยเพราะห้วงทุกข์ในความรัก พระนางปารฺวตีจึงแนะให้พระองค์นำพลังแห่งความรักของพระองค์กับพระนางได้ฟื้นคืนเทพเจ้าแห่งความรักกลับคืนมา
.
“....โอ้พระกามเทพ ผู้มอบความรักอันหวานชื่นประดุจน้ำผึ้งและอ้อยหวาน งดงามปานบุปผา ด้วยคันศรปล้องอ้อย สายรั้งฝูงผึ้งและศรเบญจพฤกษา เราไร้สติด้วยความเจ็บช้ำ สิ้นหวังและทุกข์ระทมในการจากไปของนางสตี จึงเผลอโกรธาโดยมิตั้งใจเลย ในเหตุที่เจ้าพยายามยิงบุษปศรใส่เราเพื่อให้เราได้ครองรักกับนางปารฺวตี
.
รุทรเนตรของเราจึงได้เผาผลาญเจ้าจงเป็นจุล จนรูปกายของเจ้าและความรักอันสดชื่น ได้สูญสิ้นไปจากจักรวาล
.
แต่กระนั้น ข้าก็มิอาจจะคืนรูปกายอันประเสริฐให้แก่เจ้าได้ ด้วยเพราะอำนาจแห่งรุทรเนตรนั้นยิ่งใหญ่นัก ข้าไม่สามารถชุบชีวิตของเจ้า คงทำได้เพียงมอบคืนจิตวิญญาณแห่งรักให้กับเจ้าได้เพียงเท่านั้น
.
เจ้ากามเทพผู้อุ้มสมในความรักแห่งโลกเอ๋ย นับแต่นี้ วิญญาณเจ้าจงกลับคืนมา ทำหน้าที่มอบความรักให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวงเฉกเช่นเดิม เจ้าจะเป็นรูปอนังคะ (Ananga/ไม่มีรูปกาย) ที่จะไม่มีใครได้มองเห็นไปทั่วจักรวาล
.
.
“....ขอให้ความรักจงเป็นความงดงามที่มองไม่เห็น แต่ทุกคนจะสัมผัสได้ ยามเมื่อเจ้าแผลงศรรักอันหวานชื่น...มอบให้...เขา... ได้รักกัน”
เครดิต FB
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy