ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
พระพิฆคเนศ
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
นางอัปสรา พิพิธภัณฑ์แห่งชาติพระนคร
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
สุภัททปริพาชก
สุภัททปริพาชก
ขณะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรทมอยู่ระหว่างต้นสาละคู่ในเมืองกุสินาราก่อนทรงดับขันธ์ปรินิพพาน มีปริพาชกนามว่า สุภัททะ ทราบข่าวว่าพระองค์จะปรินิพพาน จึงปรารถนาเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามข้อข้องใจ พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า และทรงแสดงพระธรรมเทศนา คือ อริยมรรคมีองค์ 8 และทรงย้ำว่าตราบใดที่สาวกของพระองค์ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ 8 อย่างถูกต้อง โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ สุภัททปริพาชกเลื่อมใส ทูลขออุปสมบทและบรรลุอรหันตผลในราตรีนั้น นับเป็นพุทธสาวกองค์สุดท้ายที่ได้เป็นอรหันต์ทันพระชนชีพของพระพุทธองค์
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วิสาขปุรณมีบูชา
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
พระพุทธมหาจักรพรรดิ์วัดนางนอง
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วัดสระเกศ
พระประธานพระอุโบสถ
วัดสระเกศ
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ขณะยกทัพไปทำสงครามที่เขมร ได้ข่าวกรุงธนบุรีเกิดจลาจล จึงยกทัพกลับพระนคร ถึงชานพระนคร เสด็จเข้าโขลนทวารและสรงมูรธาภิเษกที่วัดสระแก วันรุ่งขึ้นเสด็จไปประทับพลับพลาหน้าวัดโพธาราม เสด็จลงเรือข้ามไปพระราชวังกรุงธนบุรี ทรงระงับทุกข์เข็ญแล้ว เสนาพฤฒามาตย์เชิญเสด็จขึ้นผ่านพิภพเป็นพระมหากษัตริย์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงย้ายพระนครจากกรุงธนบุรีซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามาสร้างกรุงเทพฯในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
โปรดให้ขุดคลองพระนคร จากวัดเชิงเลน (วัดบพิตรพิมุข) ข้างใต้ มาวัดบางลำภู (วัดสังเวช) ทางข้างเหนือ ข้างวัดสระแกโปรดให้ขุดคลองมหานาค เป็นที่เล่นเพลงเรืออย่างกรุงเก่า และโปรดให้สถาปนาวัดสระแกเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ
วัดสระเกศมีปูชนียวัตถุสถานสำคัญ คือ พระบรมบรรพต ที่ใครๆเรียก ภูเขาทอง มีพระอัฏฐารสในพระวิหารที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าทรงอัญเชิญลงมาจากเมืองพระพิษณุโลก และมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่เชิญมาจากเมืองอนุราธบุรี ประเทศลังกาในสมัยรัชกาลที่ 2 ต้นพระศรีมหาโพธินี้ ทุกวันสงกรานต์ สำนักพระราชวังจะเชิญน้ำพระสุคนธ์มารดถวาย ตลอดมาเป็นเวลา 200 ปีแล้ว
พระประธานพระอุโบสถวัดสระเกศ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น นัยว่าปั้นพอกพระประธานองค์เดิมซึ่งเล็กไปเมื่อสร้างพระอุโบสถใหม่ในรัชกาลที่ 1
พระอุโบสถวัดสระเกศ เป็นโบสถ์แบบรัชกาลที่ 1 คือมีฐานเตี้ย แต่เนื่องจากเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ จึงมีประตูกลาง โบสถ์เตี้ยมีประตูกลางนี้ ทำให้สามารถมองเห็นพระประธานจากนอกวัดได้ โดยมองทะลุประตูหน้าของกำแพงวัด มองทะลุซุ้มประตูพระระเบียง และมองทะลุซุ้มประตูหน้าของพระอุโบสถ ไม่มีที่ไหนเหมือน
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ตลาดทุเรียนในอดีต
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วันวิสาขบูชา๒๕๖๔
วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
ปราสาทหินหลังสุดท้าย
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
จารึกแผ่นทองแดงเมืองโบราณอู่ทอง
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
ปราสาทหินหลังสุดท้าย
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วาทะศิลป์
วาทศิลป์ (มังสชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภบิณฑบาตอันมีรสอร่อยที่พระสารีบุตรให้แก่พวกภิกษุผู้ดื่มยาถ่าย ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีลูกชายเศรษฐีอีก ๓ คนเป็นเพื่อนรักกัน อยู่มาวันหนึ่ง พวกเขาชวนกันไปนั่งสนทนากันเล่นที่หนทางสี่แพร่งนอกเมือง ในขณะนั้นมีนายพรานคนหนึ่งนั่งเกวียนบรรทุกเนื้อมาเต็มลำ เพื่อจะนำไปขายในเมืองพาราณสี
ลูกชายเศรษฐีทั้ง ๔ คนเห็นเขากำลังมา จึงปรึกษากันว่าใครจะสามารถใช้วาทศิลป์ขอเนื้อจากนายพรานคนนั้นได้มากกว่ากัน เมื่อนายพรานขับเกวียนเข้ามาใกล้แล้ว
ลูกชายเศรษฐีคนที่ ๑ จึงร้องขอเนื้อขึ้นว่า " เฮ้ย..นายพราน ขอเนื้อสักชิ้นหน่อยสิ "
นายพรานพูดว่า " วาจาของท่านหยาบคายนัก เป็นเช่นกับพังผืด เราจะให้เนื้อพังผืดแก่ท่าน " แล้วให้เนื้อพังผืดแก่เขาไป
ลูกชายเศรษฐีคนที่ ๒ ร้องขอเนื้อว่า " พี่ชาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ "
นายพรานพูดว่า " คำว่าพี่ชายนี้ เป็นส่วนประกอบของมนุษย์ที่เรียกขานกันในโลก วาจาของท่านเป็นเช่นกับส่วนประกอบ เราจะให้เนื้อส่วนประกอบแก่ท่านนะ" แล้วก็ยื่นเนื้อส่วนประกอบแก่เขาไป
ลูกชายเศรษฐีคนที่ ๓ เอ่ยปากขอเนื้อว่า " พ่อ ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ "
นายพรานพูดว่า " บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทำให้หัวใจพ่อหวั่นไหว วาจาของท่านเป็นเช่นกับน้ำใจ เราจะให้เนื้อหัวใจแก่ท่านนะ " แล้วก็ยื่นเนื้อหัวใจให้เขาไป
พระโพธิสัตว์เอ่ยปากขอเนื้อเป็นคนที่ ๔ ว่า " สหาย ท่านจงให้เนื้อแก่ฉันบ้างสิ "
นายพรานพูดเป็นคาถาว่า
" ในบ้านของผู้ใดไม่มีเพื่อน บ้านนั้นเป็นเช่นกับป่า
คำพูดของท่านเช่นกับสมบัติทั้งหมด
สหาย ข้าพเจ้าให้เนื้อทั้งหมดแก่ท่าน "
ว่าแล้วก็ชวนพระโพธิสัตว์ขึ้นเกวียนไปที่บ้านของเขามอบเนื้อให้ทั้งหมด ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็เชิญนายพรานพร้อมภรรยาและบุตรธิดามาอยู่ด้วยกันให้เลิกทำการล่าสัตว์ เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันเกื้อกูลกันจนตราบสิ้นชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : วาทศิลป์เป็นศิลปะชนิดหนึ่งที่พึงศึกษา เพราะพูดถูกใจคนย่อมมีผลดีมากกว่าผลร้าย
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
กำเนิดสุรา
กำเนิดสุรา ( กุมภชาดก )
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภหญิงนักดื่มสุรา ๕๐๐ คน ผู้เป็นสหายของนางวิสาขามหาอุบาสิกา ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยของพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองพาราณสี มีนายพรานป่าคนหนึ่งชื่อสุระ ได้เข้าป่าเพื่อหาของป่าค้าขาย มีต้นไม้ต้นหนึ่งลำต้นตรงสูงขนาดเท่าคนยืน มี ๓ คาคบ ตรงกลางมีโพรงขนาดเท่าตุ่มน้ำ เมื่อฝนตกน้ำก็จะขังเต็มเปี่ยม ลูกสมอ มะขามป้อม และพริกไทยที่ขึ้นอยู่รอบข้างต้นไม้นั้น ก็จะหล่นไปหมักอยู่ในน้ำนั้น และที่ใกล้ ๆ ต้นไม้นั้นมีข้าวสาลีเกิดเองอยู่เมื่อนกคาบรวงข้าวสาลีบินไปจับกินอยู่บนต้นไม้นั้น เมล็ดข้าวสาลีก็หล่นลงไปในน้ำนั้น
เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน ฝูงนกกระหายน้ำก็จะบินมากินน้ำที่ต้นไม้นั้น ก็มึนเมาพลัดตกลงไปที่โคนต้นไม้นั้น ม่อยหลับไปสักครู่หนึ่งก็บินขึ้นไปได้ ฝูงลิงก็เช่นกัน วันหนึ่งนายพรานสุระไปพบเห็นสิ่งแปลกประหลาดนั้นเข้า ก็คิดแปลกใจว่า "แปลกจริงหนอ..ถ้าน้ำนี้มีพิษ พวกสัตว์เหล่านี้คงตายไปแล้วละ แต่นี่มันร่วงลงมานอนสักครู่หนึ่งแล้วก็เดินหนีไปได้ น้ำนี่คงไม่มีพิษอะไร "จึงลองดื่มดูเกิดอาการมึนเมาแล้วอยากจะกินเนื้อสัตว์ จึงก่อไฟปิ้งนกที่ร่วงลงมาพื้นดินนั้นกิน มือหนึ่งฟ้อนรำ มือหนึ่งถือปิ้งนกกัดกินเขาเป็นอยู่อย่างนี้ถึง ๒ วัน จึงออกเดินหาของป่าโดยไม่ลืมตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่นำไปดื่มด้วย
ในที่ไม่ไกลจากนั้น มีดาบสชื่อวรุณะบำเพ็ญพรตอยู่ นายพรานสุระเมื่อเดินหาของป่าไปพบเห็นดาบสนั้นเข้า จึงชวนให้มาดื่มน้ำที่เขาใส่กระบอกไม้ไผ่ไปด้วยนั้น คนทั้งสองจึงดื่มน้ำนั้นกับเนื้อย่างร่วมกัน เพราะเหตุนั้นน้ำนั้นเขาจึงเรียกว่าสุราบ้าง วรุณีบ้าง ตามชื่อของพรานและดาบสนั้น
เมื่อดื่มน้ำนั้นด้วยกัน คนทั้งสองจึงเกิดความคิดในการประกอบอาชีพได้อย่างหนึ่ง พากันตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วหาบเข้าเมืองไปถวายพระราชา พระราชาเสวยแล้วเกิดติดใจในรสชาติจึงรับสั่งให้คนทั้งสองนำมาถวายอีก พร้อมกับประทานรางวัลให้พวกเขาทั้งสองไปนำน้ำนั้นมาถวายพระราชาอีก เมื่อหมดก็รับสั่งให้ไปนำมาถวายอีก ในระหว่างทางคนทั้งสองจึงปรึกษากันว่า "พวกเราไม่สามารถจะเทียวมาเทียวไปได้ตลอดปี หาทางปรุงสุราขึ้นเองในเมืองจะดีกว่า" จึงจดจำสิ่งประกอบในน้ำนั้นแล้ว นำมาปรุงในเมืองถวายพระราชา และขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ชาวเมืองพากันดื่มสุราจนมัวเมาไม่ประกอบอาชีพ เลยยากจนเข็ญใจไปตามๆ กัน ไม่นานเมืองนั้นก็เป็นเหมือนเมืองร้าง มีแต่นักเลงสุราไม่มีคนทำมาหากินอะไร
คนทั้งสองเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจะมีกำลังทรัพย์พอจะซื้อสุราได้แล้ว จึงหนีไปอยู่เมืองพาราณสี ไม่นานเมืองพาราณสีก็เป็นเช่นกันกับเมืองร้าง จึงหนึไปอยู่เมืองสาวัตถี ในสมัยนั้นพระเจ้าสัพพมิตต์ปกครองเมือง พระองค์ได้ทำการต้อนรับคนทั้งสองเป็นอย่างดี และให้ทำการปรุงสุรามาถวาย ขณะเดียวกันก็ส่งทหารสอดแนมไปสังเกตดูพฤติกรรมของคนทั้งสอง
นายพรานสุระและวรุณดาบส ทำการปรุงสุราจำนวน ๕๐๐ ตุ่มตั้งไว้เกรงว่าหนูจะมาลงตุ่ม จึงฝึกแมว ๕๐๐ ตัวไว้ข้างตุ่มนั้นเมื่อแมวหิวจึงพากันดื่มน้ำนั้นมึนเมาเหลับไป พวกหนูมาแทะหู จมูกและหางแมวก็ไม่ตื่น ขณะนั้นพวกทหารสอดแนมที่พระราชาส่งมาเฝ้าดูคนทั้งสองเห็นแมวนอนตายหมด จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ
พระเจ้าสัพพมิตต์เห็นว่าคนทั้งสองปรุงยาพิษหวังจะลอบปลงพระชนม์จึงมีรับสั่งให้นำไปประหารชีวิต แม้คนทั้งสองจะทูลให้ทราบว่าเป็นสุรารสอร่อยก็ไม่ทรงเชื่อฟัง เมื่อประหารชีวิตคนทั้งสองแล้ว จึงรับสั่งให้ทำลายตุ่มเหล่านั้นเสีย พวกทหารจะไปทำลายตุ่มสุรา เห็นแมวกลับมีชีวิตคืนมาเหมือนเดิมจึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาจึงรับสั่งให้จัดเตรียมสุราขึ้นมาถวายเพื่อจะทดลองดื่มดู
ในขณะที่พระราชาจะดื่มสุรานั้นเอง ท้าวสักกะเห็นความพินาศจักมีแก่ชาวเมืองสาวัตถี จึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์มือหนึ่งถือหม้อสุรา เหาะมายืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชาร้องขายหม้ออยู่
พระราชาตรัสถามว่า "ท่านเป็นใครมาร้องขายหม้ออยู่กลางอากาศเช่นนี้ หม้อท่านใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง"
พราหมณ์ตอบว่า "ขอเดชะ หม้อใบนี้มิใช่หม้อน้ำผึ้งเป็นหม้อที่มีโทษมาก กล่าวคือผู้ใดดื่มน้ำในหม้อนี้แล้วเดินโซซัดโซเซ ตกหลุมตกบ่อ ไม่มีกฎเกณฑ์ในใจ เที่ยวหยำเปไป ฟ้อนรำ ขับร้องได้ เดินแก้ผ้าเปลือยกายตามถนนก็ได้ นอนตื่นสาย พูดคำที่ไม่ควรพูด กินอาหารที่เหลือเดนสุนัขได้ นอนจมอยู่ในอาเจียนของตน มีตาขวาง เข้าใจว่าบ้านเมืองเป็นของเราผู้เดียว ทะเลาะวิวาท เสียทรัพย์สินเงินทอง ไร่นา ด่ามารดาบิดาได้ ฆ่าสมณชีพราหมณ์ได้ ท่านจงซื้อหม้อใบนี้เสียเถิด น้ำในหม้อใบนี้ ก็เป็นสุราเช่นเดียวกัน ถ้าประสงค์จักเห็นความพินาศของตนเองและบ้านเมืองแล้ว จงดื่มเถิด"
พระราชา "พราหมณ์..ท่านมิใช่มารดาบิดาของเรายังหวังดีแก่เราปานนี้ ขอมอบบ้านเก็บภาษี ๕ ตำบล ทาสี ๕๐๐ คนวัว ๗๐๐ ตัว รถม้าอาชาไนยอีก ๑๐ คัน แก่ท่าน ขอท่านจงเป็นอาจารย์แก่ข้าพเจ้าเถิด"
พราหมณ์แสดงตนให้ทราบว่าเป็นท้าวสักกะแล้วให้โอวาทว่า " พระราชา..บ้าน ทาสี วัว และรถม้าอาชาไนยจงเป็นของท่านตามเดิมเถิดเราเป็นท้าวสักกะ ขอพระองค์จงตั้งอยู่ในธรรมอย่าประมาทเถิด" เมื่อประทานโอวาทแก่พระราชาแล้ว ท้าวสักกะก็เสด็จกลับยังสถานวิมานของพระองค์ทันที
ฝ่ายพระราชาก็ไม่ดื่มสุรานั้น รับสั่งให้ทำลายทิ้งทั้งหมด สมาทานศีลบริจาคทานแล้วในที่สุดของชีวิตไปเกิดในสวรรค์ ส่วนการดื่มสุราก็มีมาในโลกมนุษย์ แต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : การดื่มสุราไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษฝ่ายเดียว ทำให้เสียทรัพย์เสียของรัก และทำให้ผู้คนประกอบกรรมชั่วได้ สาธุชนเมื่อทราบเช่นนี้แล้วมิควรดื่มสุราเลย
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
อำนาจแห่งความงาม
อำนาจแห่งความงาม (มุทุลักขณชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภสภาวะธรรมที่ทำให้คนเศร้าหมอง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีตนหนึ่งได้อภิญญา บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ป่าหิมพานต์ วันหนึ่งได้เดินทางเข้าไปพำนักในสวนหลวง ในเมืองพารณสี รุ่งเช้าครองผ้าเปลือกไม้ ห่มหนังเสือ เกล้าผมทรงบริขาร เที่ยวภิกขาจารไปถึงประตูพระราชวัง พระราชาทรงเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้เข้าไปฉันในพระราชวัง และนิมนต์ให้อยู่ในสวนหลวง ฤาษีรับคำนิมนต์อยู่เป็นเวลา ๑๖ ปี
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบกบฎแถบชายแดน จึงมอบหน้าที่ถวายภัตตาหารแก่พระมเหสีนามว่ามุทุลักขณา ฤาษีมักเข้าพระราชวังตามเวลาที่ตนพอใจเป็นประจำ วันหนึ่งพระนางได้เตรียมอาหารเสร็จแล้ว เข้าใจว่าฤาษีจะมาช้าจึงเอนพระกายรอที่ท้องพระโรง ขณะนั้น ฤาษีได้เหาะมาถึงพอดี พระนางเมื่อได้ยินเสียงเปลือกไม้ก็รีบเสด็จลุกขึ้น ทำให้ผ้าที่ทรงอยู่ซึ่งเป็นผ้าเนื้อเกลี้ยงหลุดลง เป็นเวลาที่พระฤาษีเหาะเข้าทางช่องพระแกลพอดีทำให้เห็นรูปกายของพระนาง อำนาจแห่งความงามเป็นเหตุให้กิเลสภายในฤาษีกำเริบขึ้น ทันใดนั้น ฌานของท่านเสื่อมลงทันที หลังจากรับอาหารแล้วท่านบริโภคไม่ได้ เดินลงจากปราสาทเข้าไปสวนหลวงนอนซมไม่แตะอาหารปล่อยให้ร่างกายซูบผอมถึง ๗ วัน
ในวันที่ ๗ พระราชาเสด็จกลับมาถึงเมืองทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จตรงไปหาฤาษีทันที เห็นอาการเช่นนั้นแล้วทรงตกพระทัยจึงตรัสถามถึงสาเหตุ ฤาษีได้ตอบว่าเป็นเพราะมีจิตกำหนัดในพระนางมุทุลักขณาเป็นเหตุ พระองค์ทรงยินดีถวายพระนางให้แก่ฤาษี ก่อนถึงเวลาได้สัญญาลับกับพระนางมุทุลักขณาว่า ขอให้พระนางพยายามรักษาตนด้วยกำลัง พระนางได้บอกฤาษีว่าต้องมีเรือนหลังหนึ่ง ฤาษีขอพระราชทานจากพระราชา พระองค์มอบเรือนวัจจกุฏี(ส้วม)ให้หลังหนึ่ง พระนางไม่เข้าไปด้วยความสกปรก ดาบสจึงไปนำตะกร้ามาจากพระราชสำนักมาโกยสิ่งสกปรกและขยะไปทิ้ง พระนางให้ดาบสทำความสะอาดห้องแล้วไปนำเตียงมาและเก้าอี้มาทีละอย่าง และใช้ตักน้ำให้เต็มตุ่ม
เมื่อกำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยกัน พระเทวีจับสีข้างดาบสฉุดให้ก้มลงตรงหน้าพลางตรัสว่า
" ท่านไม่รู้ตัวว่าเป็นสมณะหรือพราหมณ์เลยหรือ "
ดาบสกลับได้สติคืนมาในเวลานั้นเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านไม่รู้ตัวเอาเสียเลย เพราะอำนาจกิเลส จึงนำพระเทวีไปถวายพระราชาแล้วกล่าวคาถาว่า
" ครั้งก่อน เรายังไม่ได้ประสบพระนางมุทุลักขณา ความปรารถนามีอยู่อย่างเดียว
ครั้นได้พบพระนาง ผู้มีเนตรแวววาวเข้าแล้ว ความปรารถนาช่วยให้เกิดความต้องการ
ขึ้นหลายอย่าง "
ฤาษี ได้อำลาพระราชากลับเข้าป่าหิมวันตะด้วยการบำเพ็ญฌานใหม่ เหาะขึ้นสู่อากาศทันที ไม่หวนกลับมาถิ่นของมนุษย์อีกเลย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อำนาจแห่งความงามกิเลสตัณหาทำให้คนตาบอด
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
คาถาปลาช่อนขอฝน
ปลาขอฝน (มัจฉชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ทรงปรารภการบันดาลให้ฝนตกทั่วเมือง เรื่องมีอยู่ว่า ...
ในสมัยนั้น ทั่วทั้งแคว้นโกศลเกิดภัยแล้งฝนไม่ตกหลายเดือน ข้าวกล้าเหี่ยวแห้ง สระน้ำแห้งขอดเหลือแต่โคลนตม ปลาตายเกลื่อนกลาด ฝูงนก ฝูงกาบินว่อน ชาวเมืองสาวัตถีและฝูงสัตว์เกิดเดือดร้อนกันไปทั่ว แม้น้ำในสระวัดเชตวันก็เหือดแห้งเช่นกัน ปลากระเสือกระสนหนีตายเข้าไปในเปลือกตม
รุ่งเช้า พระพุทธองค์ ได้ทรงตรวจดูสรรพสัตว์ ทรงเห็นความเดือดร้อนนั้นแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์ หลังจากเสด็จกลับมาจากบิณฑบาตแล้ว ได้ประทับยืนอยู่ที่บันไดสระในวัดเชตวัน ตรัสเรียกพระอานนท์ให้นำผ้าอาบน้ำมาถวายพระองค์ ด้วยมีพระประสงค์จะสรงน้ำในสระ
แม้พระอานนท์จะทูลว่าน้ำในสระมีแต่ตม ไม่มีน้ำมิใช้หรือ ก็ทรงตรัสว่า " อานนท์ ธรรมดากำลังของพระพุทธเจ้าใหญ่หลวงนัก เธอจงนำเอาผ้าอาบน้ำมาเถิด "
พระเถระได้นำผ้ามาถวายแล้ว พระพุทธองค์ทรงนุ่งผ้าด้วยชายข้างหนึ่ง ทรงคลุมพระสรีระด้วยชายข้างหนึ่ง ประทับยืนที่บันไดตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระ
ทันใดนั้นเอง แท่นศิลาอาสน์ของท้าวสักกะก็แสดงอาการร้อน ท้าวเธอทราบเรื่องนั้นแล้วจึงบัญชาให้วลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝน บันดาลฝนให้ตกทั่วแคว้นโกศลโดยไม่ขาดสายครู่เดียวเท่านั้น น้ำก็เต็มสระ ท้วมถึงบันไดสระ พระพุทธองค์ทรงลงสรงน้ำในสระแล้ว ทรงครองผ้าสองชั้นสีแดง คาดรัดประคต ทรงครองสุคตจีวร เฉวียงพระอังสะ เสด็จประทับในพระคันธกุฎี
ในเวลาเย็น พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภายกเรื่องพระพุทธองค์ทรงบันดาลให้ฝนตก ด้วยพระกรุณาในชาวเมืองและสรรพสัตว์ขึ้นมาสนทนากัน พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกดังนี้ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ห้วยแห่งหนึ่ง มีเถาวัลย์รกรุงรัง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นปลาช่อนตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในห้วยนั้น สมัยนั้น เกิดภัยแล้งฝนไม่ตกเช่นเดียวกัน ฝูงปลาต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยเปลือกตม ฝูงนกการุมจิกกินหมู่ปลา ปลาช่อนนั้นเห็นความพินาศของหมู่ญาติ จึงทำสัจกิริยาให้ฝนตกด้วยการแหวกออกจากเปลือกตม มองดูอากาศแล้วบันลือเสียงแก่เทวราชปัชชุนนะว่า
" หมู่ปลาเดือดร้อนมาก ข้าพเจ้ารักษาศีลไม่เคยกินปลาด้วยกันตลอดชีวิต ด้วยความสัตย์นี้ขอท่านจงให้ฝนตกลงมาเถิด "
แล้วกล่าวคาถาว่า
" ปัชชุนนเทพ ท่านจงคำรณคำรามให้ฝนตกมา
ทำลายขุมทรัพย์ของฝูงกา ทำฝูงกาให้ได้รับความเศร้าโศก
และช่วยปลดเปลื้องข้าพเจ้าและหมู่ญาติ ให้พ้นจากความเศร้าโศกเถิด "
ฝนห่าใหญ่จึงตกลงมาช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดพ้นจากความตายได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คุณของศีลสามารถช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นให้รอดพ้นจากความตายได้
...................
พระคาถาปลาช่อนขอฝน
ปุนะ ปะรัง ยะทา โหมิ มัจฉะราชา มะหาสะเร
อุณเห สุริยะสันตา เปสะเร อุทะกัง ขียะถะ
ตะโต กากา จะ คิชฌา จะ กังกากุลาละเสนะกัง
ภักขายันติ ทิวารัตติง มัชเฌ อุปะนิสีทิยะ
เอวัง จินเตสะหัง ตัตถะ สะหะ ญาติภิปิฏฐิโต
เกนะ นุ โข อุปาเยนะ ญาติ ทุกขา ปะโมจะยัง
วิจินตะยิตะวา ธัมมัฏฐัง สัจจัง อัททะสะ วัสสะยัง
สะเจ ฐิตะวา ปะโมเจสิง ญาตีนัง ตัง อะติกขะยะ
อะนุสสะริตะวา สะตัง ธัมมัง ปะระมัตถัง วิจินตะยัง
อะกาสิง สัจจะกิริยัง ยัง โลเก ธุวะสัสสะตัง
ยะโต สะรามิ อัตตานัง ยะโต ปัตโตสะมิ วิญญุตัง
นาภิชานามิ สัญจิจจะ เอกะปาณัมหิ หิงสิตา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ปะชุนโน อะภิวัสสะตุ
อะภิตถะนายัง ปะชุนนะ นิธิง กากัสสะ นาสะยะ
กากัง โสกายะ รันเชหิ มัจเฉ โสกา ปะโมจะยะ
สะหะ กะเต สัจจะวะเร ปะชุนโน อะภิวัสสิยะ
ถะลัง นินนัญจะ ปูเรนโต ขะเณนะ อะวิวัสสิยะ
เอวะรูปัง สัจจะกิริยัง กัตะวา วิริยะมุตตะมัง
วัสสาเปสิง มะหาเมฆัง สัจจะเตชะพะลัสสิโต
สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ เอสา เม สัจจะปาระมีติ ฯ
(ใช้สวดวันละ ๓จบ ต่อท้ายพระปริตร ก่อนเริ่มสวด อิติปิโส๑๐๘)
คำแปล
ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาปลาอยู่ในสระ
ใหญ่น้ำในสระแห้งขอดเพราะแสงพระอาทิตย์ในฤดูร้อน
ที่นั้นกาแร้งนกกระสานกตะกรุมและเหยี่ยว มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันกลางคืน
ในกาลนั้น เราคิดอย่างนี้ว่าเรากับหมู่ญาติถูกบีบคั้น จะพึงเปลื้องหมู่ญาติให้พ้นจากทุกข์ได้ด้วยอุบายอะไรหนอ
เราคิดแล้วได้เห็นความสัตย์อันเป็นอรรถเป็นธรรมว่าเป็นที่พึ่งของหมู่ญาติได้เราตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว
จะเปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้เรานึกถึงธรรมของสัตบุรุษ
คิดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ อันตั้งอยู่ในเที่ยงแท้ในโลก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้แล้วได้กระทำสัจกิริยาว่า
ตั้งแต่เราระลึกตนได้ ตั้งแต่เรารู้ความมาจนถึงบัดนี้เราไม่รู้สึกว่าแกล้งเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งให้ได้รับความลำบากเลย
ด้วยสัจวาจานี้ ขอเมฆจงยังฝนให้ตกห่าใหญ่แน่ะเมฆท่านจงเปล่งสายฟ้าคำรามให้ฝนตกจงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป
ท่านจงยังกาให้เดือดร้อนด้วยความโศกจงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศก พร้อมกับเมื่อเราทำสัจกิริยา
เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครื้น ยังฝนให้ตกครู่เดียวก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่มครั้นเราทำความเพียรอย่างสูงสุด
อันเป็นความสัตย์อย่างประเสริฐเห็นปานนี้แล้วอาศัยกำลังอานุภาพความสัตย์
จึงยังฝนให้ตกห่าใหญ่ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มีนี้เป็นสัจบารมีของเราฉะนี้แล.
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
ปลาขอฝน
ปลาขอฝน (มัจฉชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ทรงปรารภการบันดาลให้ฝนตกทั่วเมือง เรื่องมีอยู่ว่า ...
ในสมัยนั้น ทั่วทั้งแคว้นโกศลเกิดภัยแล้งฝนไม่ตกหลายเดือน ข้าวกล้าเหี่ยวแห้ง สระน้ำแห้งขอดเหลือแต่โคลนตม ปลาตายเกลื่อนกลาด ฝูงนก ฝูงกาบินว่อน ชาวเมืองสาวัตถีและฝูงสัตว์เกิดเดือดร้อนกันไปทั่ว แม้น้ำในสระวัดเชตวันก็เหือดแห้งเช่นกัน ปลากระเสือกระสนหนีตายเข้าไปในเปลือกตม
รุ่งเช้า พระพุทธองค์ ได้ทรงตรวจดูสรรพสัตว์ ทรงเห็นความเดือดร้อนนั้นแล้ว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์ หลังจากเสด็จกลับมาจากบิณฑบาตแล้ว ได้ประทับยืนอยู่ที่บันไดสระในวัดเชตวัน ตรัสเรียกพระอานนท์ให้นำผ้าอาบน้ำมาถวายพระองค์ ด้วยมีพระประสงค์จะสรงน้ำในสระ
แม้พระอานนท์จะทูลว่าน้ำในสระมีแต่ตม ไม่มีน้ำมิใช้หรือ ก็ทรงตรัสว่า " อานนท์ ธรรมดากำลังของพระพุทธเจ้าใหญ่หลวงนัก เธอจงนำเอาผ้าอาบน้ำมาเถิด "
พระเถระได้นำผ้ามาถวายแล้ว พระพุทธองค์ทรงนุ่งผ้าด้วยชายข้างหนึ่ง ทรงคลุมพระสรีระด้วยชายข้างหนึ่ง ประทับยืนที่บันไดตั้งพระทัยว่า เราจักสรงน้ำในสระ
ทันใดนั้นเอง แท่นศิลาอาสน์ของท้าวสักกะก็แสดงอาการร้อน ท้าวเธอทราบเรื่องนั้นแล้วจึงบัญชาให้วลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝน บันดาลฝนให้ตกทั่วแคว้นโกศลโดยไม่ขาดสายครู่เดียวเท่านั้น น้ำก็เต็มสระ ท้วมถึงบันไดสระ พระพุทธองค์ทรงลงสรงน้ำในสระแล้ว ทรงครองผ้าสองชั้นสีแดง คาดรัดประคต ทรงครองสุคตจีวร เฉวียงพระอังสะ เสด็จประทับในพระคันธกุฎี
ในเวลาเย็น พวกภิกษุประชุมกันในธรรมสภายกเรื่องพระพุทธองค์ทรงบันดาลให้ฝนตก ด้วยพระกรุณาในชาวเมืองและสรรพสัตว์ขึ้นมาสนทนากัน พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกดังนี้ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ห้วยแห่งหนึ่ง มีเถาวัลย์รกรุงรัง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นปลาช่อนตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในห้วยนั้น สมัยนั้น เกิดภัยแล้งฝนไม่ตกเช่นเดียวกัน ฝูงปลาต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยเปลือกตม ฝูงนกการุมจิกกินหมู่ปลา ปลาช่อนนั้นเห็นความพินาศของหมู่ญาติ จึงทำสัจกิริยาให้ฝนตกด้วยการแหวกออกจากเปลือกตม มองดูอากาศแล้วบันลือเสียงแก่เทวราชปัชชุนนะว่า
" หมู่ปลาเดือดร้อนมาก ข้าพเจ้ารักษาศีลไม่เคยกินปลาด้วยกันตลอดชีวิต ด้วยความสัตย์นี้ขอท่านจงให้ฝนตกลงมาเถิด "
แล้วกล่าวคาถาว่า
" ปัชชุนนเทพ ท่านจงคำรณคำรามให้ฝนตกมา
ทำลายขุมทรัพย์ของฝูงกา ทำฝูงกาให้ได้รับความเศร้าโศก
และช่วยปลดเปลื้องข้าพเจ้าและหมู่ญาติ ให้พ้นจากความเศร้าโศกเถิด "
ฝนห่าใหญ่จึงตกลงมาช่วยชีวิตสัตว์ให้รอดพ้นจากความตายได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คุณของศีลสามารถช่วยเหลือชีวิตของผู้อื่นให้รอดพ้นจากความตายได้
...................
พระคาถาปลาช่อนขอฝน
ปุนะ ปะรัง ยะทา โหมิ มัจฉะราชา มะหาสะเร
อุณเห สุริยะสันตา เปสะเร อุทะกัง ขียะถะ
ตะโต กากา จะ คิชฌา จะ กังกากุลาละเสนะกัง
ภักขายันติ ทิวารัตติง มัชเฌ อุปะนิสีทิยะ
เอวัง จินเตสะหัง ตัตถะ สะหะ ญาติภิปิฏฐิโต
เกนะ นุ โข อุปาเยนะ ญาติ ทุกขา ปะโมจะยัง
วิจินตะยิตะวา ธัมมัฏฐัง สัจจัง อัททะสะ วัสสะยัง
สะเจ ฐิตะวา ปะโมเจสิง ญาตีนัง ตัง อะติกขะยะ
อะนุสสะริตะวา สะตัง ธัมมัง ปะระมัตถัง วิจินตะยัง
อะกาสิง สัจจะกิริยัง ยัง โลเก ธุวะสัสสะตัง
ยะโต สะรามิ อัตตานัง ยะโต ปัตโตสะมิ วิญญุตัง
นาภิชานามิ สัญจิจจะ เอกะปาณัมหิ หิงสิตา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ ปะชุนโน อะภิวัสสะตุ
อะภิตถะนายัง ปะชุนนะ นิธิง กากัสสะ นาสะยะ
กากัง โสกายะ รันเชหิ มัจเฉ โสกา ปะโมจะยะ
สะหะ กะเต สัจจะวะเร ปะชุนโน อะภิวัสสิยะ
ถะลัง นินนัญจะ ปูเรนโต ขะเณนะ อะวิวัสสิยะ
เอวะรูปัง สัจจะกิริยัง กัตะวา วิริยะมุตตะมัง
วัสสาเปสิง มะหาเมฆัง สัจจะเตชะพะลัสสิโต
สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ เอสา เม สัจจะปาระมีติ ฯ
(ใช้สวดวันละ ๓จบ ต่อท้ายพระปริตร ก่อนเริ่มสวด อิติปิโส๑๐๘)
คำแปล
ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาปลาอยู่ในสระ
ใหญ่น้ำในสระแห้งขอดเพราะแสงพระอาทิตย์ในฤดูร้อน
ที่นั้นกาแร้งนกกระสานกตะกรุมและเหยี่ยว มาคอยจับปลากินทั้งกลางวันกลางคืน
ในกาลนั้น เราคิดอย่างนี้ว่าเรากับหมู่ญาติถูกบีบคั้น จะพึงเปลื้องหมู่ญาติให้พ้นจากทุกข์ได้ด้วยอุบายอะไรหนอ
เราคิดแล้วได้เห็นความสัตย์อันเป็นอรรถเป็นธรรมว่าเป็นที่พึ่งของหมู่ญาติได้เราตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว
จะเปลื้องความพินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้เรานึกถึงธรรมของสัตบุรุษ
คิดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ อันตั้งอยู่ในเที่ยงแท้ในโลก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้แล้วได้กระทำสัจกิริยาว่า
ตั้งแต่เราระลึกตนได้ ตั้งแต่เรารู้ความมาจนถึงบัดนี้เราไม่รู้สึกว่าแกล้งเบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งให้ได้รับความลำบากเลย
ด้วยสัจวาจานี้ ขอเมฆจงยังฝนให้ตกห่าใหญ่แน่ะเมฆท่านจงเปล่งสายฟ้าคำรามให้ฝนตกจงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป
ท่านจงยังกาให้เดือดร้อนด้วยความโศกจงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความโศก พร้อมกับเมื่อเราทำสัจกิริยา
เมฆส่งเสียงสนั่นครั่นครื้น ยังฝนให้ตกครู่เดียวก็เต็มเปี่ยมทั้งที่ดอนและที่ลุ่มครั้นเราทำความเพียรอย่างสูงสุด
อันเป็นความสัตย์อย่างประเสริฐเห็นปานนี้แล้วอาศัยกำลังอานุภาพความสัตย์
จึงยังฝนให้ตกห่าใหญ่ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มีนี้เป็นสัจบารมีของเราฉะนี้แล.
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
ดาบสขี้โกง
ดาบสขี้โกง (กุหกชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้มักหลอกลวงรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี มีชฎิลโกงผู้หนึ่งเป็นดาบสหลอกลวง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ภายใต้การอุปถัมภ์ของพ่อค้าคนหนึ่ง เขาสร้างศาลาให้ดาบสและปรนนิบัติด้วยอาหารอันประณีต ด้วยเชื่อว่าดาบสเป็นผู้ทรงศีล จึงนำทองคำร้อยแท่งไปฝังไว้ใกล้ๆ ศาลาของดาบสนั้น เพื่อให้ดาบสช่วยดูแลรักษา ดาบสพูดให้เขาเกิดความสบายใจว่า
" ขึ้นชื่อว่าความโลภในสิ่งของผู้อื่น บรรพชิตไม่มีเลย "
เวลาผ่านไปสองสามวัน ดาบสได้นำทองคำไปฝังไว้เสียที่แห่งอื่น แล้วย้อนกลับมา ในวันรุ่งขึ้นฉันอาหารในบ้านของพ่อค้าแล้วกล่าวอำลาว่า
" อาตมาอาศัยท่านอยู่นานแล้ว ความพัวพันกับกับพวกมนุษย์ย่อมมี ธรรมดาการพัวพันเป็นมลทินของบรรพชิต เพราะฉะนั้น อาตมาจะขอลาไป "
แม้พ่อค้าจะอ้อนวอนอย่างไร ก็จะไม่อยู่ท่าเดียว เมื่อพ่อค้าบอกว่า
" ไปเถิดพระคุณเจ้า "
ตามไปส่งจนถึงประตูบ้านแล้วกลับเข้าบ้านไป
ดาบสนั้น เดินไปได้หน่อยหนึ่งแล้วก็เดินกลับมา พร้อมกับยื่นหญ้าเส้นหนึ่งให้แก่พ่อค้าพร้อมกล่าวว่า
" มันติดชฎาของอาตมาไป จากชายคาเรือนของท่าน ขึ้นชื่อว่า อทินนาทานไม่สมควรแก่บรรพชิต "
พ่อค้ายิ่งเลื่อมใสเข้าใจว่า
" ดาบสนี้ไม่ถือเอาสิ่งของผู้อื่น แม้เพียงเส้นหญ้า โอ! พระคุณเจ้าช่างเคร่งคัดจริง ๆ "
ก็พอดีมีชายบัณฑิตคนหนึ่งไปชนบทเพื่อต้องการสิ่งของ ได้พักแรมอยู่ในบ้านพ่อค้านั้นด้วย เห็นเหตุการณ์นั้นแล้วฉุกคิดว่า
" ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ ๆ ที่ดาบสนี้ถือไป "
จึงถามพ่อค้าว่า
" ท่านได้ฝากอะไรไว้กับดาบสไหม ? "
พ่อค้าจึงเล่าเรื่องฝากให้ดาบสดูแลหลุมฝังทองคำ ๑๐๐ แท่ง เขาจึงบอกให้พ่อค้ารีบไปตรวจเช็คดูว่าหายหรือไม่ เมื่อพ่อค้าไปตรวจดูแล้วปรากฏว่าไม่เห็นทองคำ จึงรีบกลับมาบอกชายบัณฑิตนั้น แล้วพากันรีบติดตามดาบสจับมาทุบบ้าง เตะบ้าง ให้นำทองคำมาคืน เมื่อพบทองคำแล้ว ชายผู้เป็นบัณฑิตจึงพูดว่า
" ดาบสนี้ขโมยทองคำ ๑๐๐ แท่ง ยังไม่ข้องใจ กลับมาข้องใจในเรื่องเพียงเส้นหญ้า "
แล้วกล่าวคาถาว่า
" ถ้อยคำของท่านช่างไพเราะอ่อนหวานเสียนี่กระไร ท่านรังเกียจกระทั่งหญ้าเส้นเดียว
แต่เมื่อขโมยทองคำไปตั้ง ๑๐๐ แท่ง กลับไม่รังเกียจเลยนะ "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
คนมีศิลปะ
คนมีศิลปะ (สาลิตตกชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอำมาตย์ในเมืองพาราณสี มีพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากคนหนึ่งประจำราชสำนัก ถ้าเขาได้พูดแล้วคนอื่นจะไม่มีโอกาสได้พูดเลย สร้างความรำคาญให้แก่ผู้คนเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งพระราชา พระองค์จึงคิดหาวิธีสกัดคำพูดของปุโรหิตนั้น
วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปพระอุทยานด้วยพระราชรถ ถึงต้นไทรทอดพระเนตรเห็นพวกเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงดูชายง่อยเปลี้ยผู้หนึ่ง ดีดก้อนกรวดซัดใส่ใบไม้เจาะรูเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ อยู่ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรดู ทรงคิดได้วิธีสกัดคำพูดของปุโรหิต รับสั่งให้ชายง่อยเปลี้ยเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า
" ในราชสำนักของเรา มีคนพูดมากอยู่คนหนึ่ง เจ้า สามารถทำให้เขาหยุดพูดได้ไหม ? "
เขากราบทูลว่า
" ถ้าได้ขี้แพะถังหนึ่ง อาจทำให้เขาหยุดพูดได้ พระเจ้าค่ะ "
จึงรับสั่งให้นำชายง่อยเปลี้ยเข้าวังด้วย ให้เขานั่งภายในม่านเจาะรูตรงข้ามกับที่นั่งของพราหมณ์ปุโรหิตผู้พูดมากนั้น พร้อมให้วางขี้แพะแห้งไว้ใกล้ ๆชายง่อยเปลี้ยนั้น พอได้เวลาพราหมณ์ปุโรหิตเข้าเฝ้า เขาก็เริ่มกราบทูลพูดโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่น เมื่อเขาอ้าปากพูดคำไหน บุรุษง่อยเปลี้ยก็ดีดขี้แพะที่ทำเป็นก้อนเล็กๆ ผ่านม่านเข้าปากเขาทุกคำพูด พราหมณ์ปุโรหิตจึงได้กลืนกินขี้แพะโดยไม่รู้ตัว
พระราชาทรงทราบว่าขี้แพะหมดแล้ว จึงตรัสว่า
" ท่านอาจารย์ ท่านกลืนกินขี้แพะไปตั้งถังหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้อีกหรือ ? ท่าน จงไปถ่ายท้องก่อนที่จะตายเสียเถิด "
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์ปุโรหิตปิดปากสนิท แม้ใครจะพูดด้วย ก็ไม่ค่อยจะพูด พระราชาทรงสบายพระทัยแล้วรับสั่งให้พระราชทานบ้าน ๔ หลัง อยู่ในทิศทั้ง ๔ ทิศ พร้อมทรัพย์สินแก่ชายง่อยเปลี้ยนั้น
ฝ่ายอำมาตย์ ได้เข้าเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลว่า
"ธรรมดาศิลปะในโลก บัณฑิตทั้งหลาย พึงเรียน แม้เพียงดีดก้อนกรวด ก็ยังช่วยให้ชายง่อยได้สมบัตินี้ "
แล้วกล่าวคาถานี้ว่า
" ขึ้นชื่อว่าศิลปะ แม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็สามารถให้สำเร็จประโยชน์ได้โดยแท้
ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรบุรุษง่อย ได้บ้านทั้ง ๔ ทิศ ก็ด้วยการดีดขี้แพะ "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ศิลปะเป็นสิ่งจำเป็นกับชีวิต และไม่ควรเป็นคนพูดมาก
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ปราสาทพระเทพบิดร
“ปราสาทพระเทพบิดร” (วัดพระแก้ว)
กรุงเทพมหานคร
ปราสาทจตุรมุขยอดปรางค์
ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นยอดทรงมงกุฎ
ชื่อเดิมคือ “พระพุทธปรางค์ปราสาท” สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เพื่อที่จะประดิษฐานพระแก้วมรกต แต่เนื่องจากพื้นที่ไม่เพียงพอแก่การพระราชพิธี อีกทั้งภายหลังได้มีการบูรณะในส่วนของหลังคาปราสาท โดยแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพกษัตริยาธิราช รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ และพระราชทานนามใหม่ว่า "ปราสาทพระเทพบิดร"
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2564
สะใภ้เศรษฐี
สะใภ้เศรษฐี (สุชาตาชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภนางสุชาดาน้องสาวของนางวิสาขาซึ่งเป็นลูกสะใภ้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า...
นางสุชาดาสำคัญตนว่าเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับใคร ๆ ในครอบครัวสามี แม้กระทั่งปู่และย่า เที่ยวดุด่าเฆี่ยนตีทาสรับใช้ในเรือนของสามีอยู่เป็นประจำ
ต่อมาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เข้าไปฉันที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ขณะที่กำลังแสดงธรรมอยู่นั่นเอง ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย จึงตรัสถามท่านเศรษฐี เมื่อเศรษฐีกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว พระองค์จึงรับสั่งให้เรียกนางมาเข้าเฝ้า และตรัสถามนางว่า
" สุชาดา ภรรยามี ๗ จำพวก เธอเป็นภรรยาจำพวกไหน "
นางสุชาดาไม่ทราบจึงกราบทูลว่า
" ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสหมายถึงอะไร โปรดอธิบายด้วยเถิดพระเจ้าข้า "
พระพุทธเจ้าจึงตรัสแสดงภรรยา ๗ จำพวกว่า
" สุชาดา ภรรยาจำพวกที่ ๑ มีจิตคิดประทุษร้ายสามี มิได้ประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สามี รักใคร่ในชายอื่น ดูหมิ่นล่วงเกินสามี ขวนขวายเพื่อจะฆ่าสามี นี่เรียกว่า วธกาภริยา ภรรยาเสมือนดังเพชฌฆาต
ภรรยาจำพวกที่ ๒ สามีได้ทรัพย์มามอบให้ภรรยาเก็บรักษาไว้ แต่ภรรยาไม่รู้จักเก็บรักษา ปรารถนาแต่จะใช้ทรัพย์นั้นให้หมดไป นี่เรียกว่า โจรีภริยา ภรรยาเสมือนดังโจร
ภรรยาจำพวกที่ ๓ เกียจคร้านทำงาน กินจุ มักโกรธ มักดุด่า กดขี่คนใช้ นี่เรียกว่า อัยยาภริยา ภรรยาเสมือนดังเจ้านาย
ภรรยาจำพวกที่ ๔ โอบอ้อมอารี ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนแม่รักษาลูก รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ นี่เรียกว่า มาตาภริยา ภรรยาเสมือนดังมารดา
ภรรยาจำพวกที่ ๕ มีความเคารพสามี มีความละอายใจ ทำตามความพอใจสามี คล้ายน้องสาวเคารพพี่ชาย นี่เรียกว่า ภคินีภรรยา ภรรยาเสมือนดังน้องสาว
ภรรยาจำพวกที่ ๖ เห็นหน้าสามีย่อมร่าเริงยินดี คล้ายกับเพื่อนรักมาเยี่ยมเยือนบ้าน รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติต่อสามี นี่เรียกว่า สขีภริยา ภรรยาเสมือนดังเพื่อน
ภรรยาจำพวกที่ ๗ เป็นคนที่ไม่มีความขึงโกรธ ถึงจะถูกคุกคามก็ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย อดกลั้นต่อสามี เอาใจสามีเก่ง นี่เรียกว่า ทาสีภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส
สุชาดา ภรรยา ๓ จำพวกแรกต้องตกนรก ส่วนภรรยา ๔ จำพวกหลังไปเกิดในเทวโลกชั้นนิมมานรดี ภรรยา ๗ จำพวกนี้ เธอจะเป็นจำพวกไหน "
เมื่อพระพุทธองค์เทศนาเรื่องภรรยา ๗ จำพวกจบเท่านั้น นางสุชาดาได้เป็นพระโสดาปัตติผลทันที จึงกราบทูลว่า
" ข้าพระองค์ขอเป็นทาสีภริยา ภรรยาเสมือนดังทาส พระเจ้าข้า"
ถวายบังคมขอขมาพระพุทธเจ้าแล้วก็ไป
เมื่อกลับถึงวัดเชตวันพวกภิกษุพากันสนทนาถึงนางสุชาดาที่เป็นหญิงสะใภ้ผู้ดุร้าย พอได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์แล้วกลับเป็นหญิงเรียบร้อยไปได้
พระพุทธเจ้าเพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพรหมทัต เมืองพาราณสี พอเจริญวัยได้ไปศึกษาศิลปะที่เมืองตักกสิลา เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ได้ขึ้นครองราชย์สืบมา พระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม แต่พระมารดาเป็นผู้มักโกรธดุร้าย ชอบด่าข้าทาสบริวารอยู่เสมอ พระองค์คิดหาวิธีจะตักเตือนพระมารดาแต่ก็ยังหาไม่ได้
วันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปสวนหลวงพร้อมด้วยพระมารดา มีบริวารแวดล้อมไปด้วยคณะใหญ่ พวกข้าทาสบริวารพอได้ยินเสียงนกต้อยตีวิดร้องก็พากันปิดหูพร้อมกับบ่นว่า
" เจ้านกบ้า เสียงไม่ไพเราะก็ยังร้องอยู่ได้ ไม่อยากฟัง"
ลำดับนั้นได้ยินเสียงนกดุเหว่าร้องสำเนียงไพเราะก็พากันชื่นชมว่า " เสียงเจ้าช่างไพเราะจริงๆ ร้องต่อไปเรื่อยๆ อย่าได้หยุดนะ"
พระองค์คิดว่าได้โอกาสตักเตือนพระมารดาแล้ว จึงตรัสเป็นพระคาถาว่า
" ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายที่สมบูรณ์วรรณะ มีเสียงอันไพเราะ น่ารักน่าชม
แต่พูดจาหยาบกระด้าง ย่อมไม่เป็นที่รักของใครๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
พระองค์ก็ได้เห็นมิใช่หรือว่า นกดุเหว่าสีดำตัวนี้มีสีไม่สวย ลายพร้อยไปทั้งตัว
แต่เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาก เพราะร้องด้วยเสียงอันไพเราะ
เพราะฉะนั้น บุคคลควรพูดคำอันสละสลวย คิดก่อนพูด พูดพอประมาณไม่ฟุ้งซ่าน
ถ้อยคำของผู้ที่แสดงเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นถ้อยคำอันไพเราะ เป็นถ้อยคำที่เป็นภาษิต "
พระมารดาได้สดับแล้วก็กลับได้สติ จำเดิมแต่วันนั้นมาก็กลายเป็นคนเพียบพร้อมด้วยมารยาทอันดีงามไม่ดุด่าว่าร้ายใครๆ ครองชีวิตโดยธรรมเสด็จไปตามยถากรรม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : สะใภ้ที่ดีควรเลือกทำตามภรรยา ๔ จำพวกหลัง และควรเป็นคนเจรจาด้วยคำไพเราะอ่อนหวามเหมือนกับเสียงนกดุเหว่าที่ใครๆ ก็ลุ่มหลงอยากฟัง
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
บุญที่ให้ทานแก่ปลา
บุญที่ให้ทานแก่ปลา (มัจฉทานชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภพ่อค้าโกงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกชายของพ่อค้าตระกูลหนึ่งในเมืองพาราณสี มีน้องชายอยู่คนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้วสองพี่น้องได้ปรึกษาหารือกันเรื่องบริหารกิจการค้าขาย ตกลงกันเดินทางไปสะสางบัญชีการค้าที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้เงินพันหนึ่งแล้วก็เดินทางกลับมานั่งกินข้าวห่อรอเรือข้ามฟากที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พระโพธิสัตว์ได้ให้อาหารที่เหลือแก่ปลาในแม่น้ำแล้วอุทิศส่วนบุญกุศลให้สรรพสัตว์รวมถึงเทวดาที่แม่น้ำนั้นด้วย เทวดาพออนุโมทนารับส่วนบุญเท่านั้น ก็เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยลาภยศอันเป็นทิพย์
เมื่อให้อาหารปลาหมดแล้วเขาก็ลาดผ้าบนหาดทรายล้มตัวลงนอนหลับไป ส่วนน้องชายของเขามีนิสัยเป็นหัวขโมยมาตั้งแต่เด็ก นั่งคิดวางแผนฉกเอาทรัพย์จึงห่อก้อนหินขึ้นห่อหนึ่งขนาดเท่ากับถุงห่อเงินนั้น
เมื่อเรือข้ามฟากมาถึง เขาก็ปลุกพี่ชายแล้วถือถุงสองถุงขึ้นเรือไปก่อน เมื่อเรือไปถึงกลางแม่น้ำ เขาก็ทำให้เรือโครงเครงทำทีเป็นเสียหลักโยนถุงหนึ่งลงน้ำไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า
" พี่ ถุงห่อเงินตกน้ำไปแล้ว เราจะทำอย่างไรละทีนี้ "
" เมื่อมันตกน้ำไปแล้วก็ช่างมันเถอะ อย่าคิดถึงมันเลยหาเอาใหม่ได้มากกว่านี้ " พี่ชายตอบ
เทวดาประจำแม่น้ำคงคาเห็นเหตุการณ์นั้นตลอดจึงบันดาลให้ปลาปากกว้างตัวหนึ่งมากลืนกินถุงเงินนั้นไป
ฝ่ายน้องชายเมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็รีบแก้ถุงเงินอีกถุงหนึ่งออกดูด้วยความกระหยิ่มใจ แต่พอแก้ห่อดูกลับเป็นถุงห่อก้อนหินจึงได้แต่นั่งคร่ำครวญเสียใจอยู่คนเดียวที่หลงทิ้งถุงห่อเงินลงน้ำไป ฝ่ายพี่ชายก็กลับไปบ้านของตนโดยไม่คิดอะไร
หลายวันต่อมา พวกชาวประมงไปหาปลาจับได้ปลาปากกว้างตัวนั้น จึงเที่ยวเดินขายปลาอยู่ว่า
" ปลาสดๆ จ้า ตัวนี้ขายตัวละ ๑,๗๐๐ บาท สนไหมครับ "
ชาวบ้านพากันหัวเราะเยาะว่า " ปลาอะไรจะแพงขนาดนั้นละ "
จึงไม่มีใครซื้อไป พวกเขาเดินขายไปจนถึงประตูร้านบ้านของพระโพธิสัตว์ได้ร้องขายปลาอยู่หน้าร้านนั้น
พระโพธิสัตว์เดินออกมาดูปลา สนใจปลาปากกว้างตัวนั้นจึงถามราคาว่า
" ปลาตัวนี้ราคาเท่าไหร่จ้ะ "
" ผมขายให้ ๒๘ บาทละกันครับ " ชาวประมงตอบ
เขาจึงซื้อปลาตัวนั้นไปมอบให้ภรรยาปรุงอาหาร พอภรรยาผ่าท้องปลาเท่านั้นก็พบถุงเงินจึงมอบให้เขา เขาเปิดดูเห็นตราประทับห่อของตนก็จำได้ จึงนั่งคิดแปลกใจอยู่คนเดียวว่า
" แปลกจัง ชาวประมงร้องขายปลาให้คนอื่น ๑,๗๐๐ บาท แต่ขายให้เราเพียง ๒๘ บาท เราได้เงินคืนมาเพราะอะไรหนอ "
ขณะนั้น เทวดาได้ปรากฏร่างยืนอยู่ในอากาศพูดว่า
" เราเป็นเทวดาประจำแม่น้ำคงคา ท่านให้อาหารปลาวันนั้นแล้วอุทิศส่วนบุญแก่เรา เราจึงขอมอบทรัพย์แก่ท่านคืน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะแผนการณ์ของน้องชายท่านเอง ชื่อว่าความเจริญย่อมไม่เกิดแก่คนผู้มีจิตคิดร้ายผู้อื่น "
แล้วได้กล่าวคาถาว่า
" ผู้ใดทำกรรมชั่ว ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของพี่น้องและของพ่อแม่
ผู้นั้นจัดว่าเป็นผู้มีจิตชั่วร้าย ย่อมไม่มีความเจริญ แม้เทวดาก็ไม่นับถือเขา "
กล่าวคาถาจบก็หายร่างไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ผลบุญกุศลช่วยให้ผู้มีจิตไม่ประทุษร้ายได้รับของคืน แม้เทวดาก็สรรเสริญยกย่อง
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
ผลของคนอกตัญญู
ผลของคนอกตัญญู (อกตัญญูชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภอนาถบิณฑิกเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า...
มีเศรษฐีชาวบ้านนอกคนหนึ่ง เป็นสหายผู้ไม่เคยเห็นกันของอนาถบิณฑิกเศรษฐี วันหนึ่ง ได้บรรทุกสิ่งของมาขายเมืองสาวัตถี ด้วยขบวนเกวียนสินค้า ๕๐๐ เล่ม มอบให้คนงานนำมาขาย พร้อมฝากคำมาหาอนาถบิณฑิกเศรษฐีด้วย
ฝ่ายท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ทำการต้อนรับด้วยความยินดี สั่งให้หาที่พักและเสบียงแก่คนเหล่านั้น ไต่ถามถึงความสุขของเศรษฐีผู้สหาย รับซื้อแลกเปลี่ยนสินค้าทั้งหมดแล้วส่งกลับบ้าน พวกคนงานแจ้งเนื้อความนั้นแก่เศรษฐีเจ้านายของตน
ต่อมาอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ส่งเกวียนบรรทุกสินค้าจำนวน ๕๐๐ เล่ม พร้อมนำเครื่องบรรณาการไปเยี่ยมเยือนเศรษฐีผู้สหายนั้น ฝ่ายเศรษฐีนั้นรับเครื่องบรรณาการแล้ว บอกว่าไม่รู้จักอนาถบิณฑิกเศรษฐีไม่จัดที่พักและเสบียงให้คนงานเหล่านั้นเลย ไม่รับซื้อสินค้าอีกด้วย คนเหล่านั้นต้องขายสินค้ากันเองแล้วกลับคืนเมืองสาวัตถี เล่าเรื่องนั้นแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟัง
อยู่ต่อมา เศรษฐีนั้น ได้บรรทุกสินค้ามาขายที่เมืองสาวัตถีซ้ำอีก นำบรรณาการมอบให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีแล้ว พวกคนงานของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นพวกนั้นแล้ว ขออาสาต้อนรับเอง ให้ปลดเกวียนไว้นอกเมือง พอถึงเวลากลางคืนได้นำพวกเข้าปล้นสินค้าแย่งเอาแม้กระทั่งผ้านุ่ง พวกบ้านนอกไม่เหลือแม้กระทั่งผ้านุ่งต่างกลัวตาย พากันหนีไปสู่บ้านของตน
ฝ่ายคนของอนาถบิณฑิกเศรษฐีพากันบอกเรื่องนั้นแก่เศรษฐี ท่านเศรษฐีจึงนำความนี้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรัสพระคาถาว่า
" ผู้ใด ไม่รู้จักคุณความดีและประโยชน์ให้ที่ผู้อื่นกระทำไว้ก่อน
ผู้นั้น เมื่อมีกิจการเกิดขึ้นภายหลัง ย่อมไม่ได้ผู้ช่วยเหลือ "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : บุญคุณคนต้องทดแทน
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
นกกระยางเจ้าเล่ห์
นกกระยางเจ้าเล่ห์ (พกชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ล่อลวงถือเอาผ้าจีวรรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า ...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่สระน้ำแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใหญ่มากนัก มีปลาอาศัยอยู่มาก ในฤดูร้อน น้ำในสระจะลดน้อยลงจนเกือบแห้งขอด ทำให้ปลาอยู่อย่างลำบาก ในที่ไม่ไกลจากสระนี้ มีนกกระยางอยู่ตัวหนึ่ง เห็นปลามีอยู่จำนวนมาก จึงคิดหาอุบายลวงกินปลาขึ้นมาได้อย่างหนึ่งแล้วไปยืนอยู่ที่ริมสระน้ำนั้น ทำทีเป็นเศร้าสร้อยหงอยเหงา ยืนเซื่องซึมอยู่ ปลาเห็นนกกระยางเป็นเช่นนั้นจึงถามว่า
" ท่านเป็นอะไร ถึงดูซึมเศร้าไป "
นกกระยางจึงบอกว่า
" เรากำลังสลดใจ สงสารพวกท่าน ที่น้ำในสระนี้มีน้อย มีที่เที่ยวน้อยและความร้อนมีมาก ในที่ไม่ไกลจากนี้ มีสระใหญ่อยู่สระหนึ่งทั้งลึก มีน้ำมากและมีดอกบัวเต็มสระ ถ้าพวกท่านไว้ใจเราๆ จะอาสาพาพวกท่านไปด้วยจงอยปาก คาบพวกท่านไปทีละตัว "
ปลากล่าวว่า
" เจ้านาย ไม่เคยได้ยินว่า นกกระยางคิดดีต่อปลาเลย ท่านต้องการกินปลาทีละตัวมากกว่า พวกเราไม่เชื่อท่าน "
นกกระยางกล่าวว่า
" ถ้าพวกท่านไม่เชื่อเรา พวกเจ้าจงส่งปลาตัวหนึ่งไปดูสระน้ำพร้อมกับเราซิ "
ปลาจึงคัดเลือกได้ปลาดำใหญ่ตัวหนึ่ง ที่มีความสามารถทั้งทางน้ำและทางบก เป็นตัวแทนไปดูสระน้ำนั้นกับนกกระยาง นกกระยางได้นำปลาตัวนั้นไปชมสระน้ำนั้นบินวน ๓ รอบ แล้วนำกลับมาปล่อยยังสระเดิม ปลานั้นได้พรรณนาถึงสระน้ำที่ไปเห็นมาให้ปลาทั้งหลายฟัง พวกปลาจึงตกลงใจจะไปอยู่ที่สระใหม่ตามคำแนะนำของนกกระยางนั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นกกระยางก็คาบปลาทีละตัวไปและกินเสียที่ต้นไม้กุ่มใกล้สระนั้น จนปลาหมดสระ ในสระนั้นยังมีปูใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง นกกระยางอยากจะกินปูนั้น จึงไปใช้อุบายนั้นอีก ส่วนปูฉลาดกลับเสนอว่า เนื่องจากปูตัวใหญ่ เกรงว่านกจะคาบไปไม่ไหว จึงขอใช้ก้ามปูคีบคอนกไปแทนก็แล้วกัน ด้วยอำนาจแห่งความหิว ทำให้นกกระยางตกลงตามนั้น พอบินไปถึงต้นกุ่มนกกระยางก็ไปจับที่ต้นไม้นั้นหวังจะกินปู
ปูเห็นก้างปลาที่โคนต้นกุ่มนั้น กองอยู่อย่างมากมาย ทำให้ทราบความจริง จึงสั่งให้นกกระยางบินกลับไปส่งที่สระตามเดิม นกกระยางจะไม่ไป ปูจึงหนีบคอนกกระยางให้แน่นขึ้น พร้อมกับขู่จะหนีบคอนกให้ขาด นกกระยางกลัวตายจึงบินกลับไปที่สระน้ำนั้น พอบินไปถึงกลางสระน้ำ ปูจึงตัดสินใจหนีบคอนกกระยางขาดตายกลางสระนั่นเอง
รุกขเทวดา เห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว จึงกล่าวเป็นคาถาว่า
" บุคคล ผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น จะพบความสุขอยู่ได้ไม่นาน
เพราะผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงคนอื่น ย่อมประสบผลแห่งบาปกรรมที่ตนทำไว้
เหมือนนกกระยางถูกปูหนีบคอตาย ฉะนั้น "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ไม่ควรใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่น เพราะจะประสบความพินาศในภายหลัง
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
คนอกตัญญู
คนอกตัญญู (สัจจังกิรชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัต ผู้พยายามตะเกียกตะกายเพื่อปลงพระชนม์ของพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานามาแล้ว ในเมืองพาราณสี พระเจ้าพรหมทัต มีพระราชโอรสผู้มีสันดานกักขฬะ หยาบคายอยู่พระองค์หนึ่งนามว่าทุฏฐกุมาร พระกุมารไม่ได้ทุบตีใครแล้วจะไม่ยอมตรัสกับใคร จึงไม่เป็นที่ชอบใจทั้งคนภายในและภายนอกพระราชวัง
วันหนึ่ง ท้าวเธอปรารถนาจะเล่นน้ำในแม่น้ำ จึงไปที่แม่น้ำด้วยขบวนบริวารหมู่ใหญ่ ปรากฏว่า วันนั้น มีพายุฝนตกอย่างหนัก พวกทาสจึงพากันทิ้งพระองค์ให้ลอยไปตามลำน้ำ หนีกลับเข้าเมือง กราบทูลพระราชาว่าไม่พบพระกุมาร พระราชารับสั่งให้ทหารออกติดตามค้นดูให้ทั่วบริเวณก็ไม่พบ
ฝ่ายพระกุมารได้เกาะขอนไม้ลอยไปตามแม่น้ำ ไม่นานก็มีงู หนูและนกแขกเต้าหนีตายมาอาศัยเกาะขอนไม้นั้นตามลำดับ สัตว์ทั้ง ๔ ชนิดได้อาศัยขอนไม้ลอยไปตามแม่น้ำนั้น ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำนั้น มีอาศรมของฤาษีอยู่ตนหนึ่ง ท่านกำลังเดินจงกรมในเวลาเที่ยงคืน ได้ยินเสียงพระกุมารร้องไห้ จึงไปที่ฝั่งน้ำ พบเห็นสัตว์ทั้ง ๔ ชนิดนั้นจึงได้ช่วยขึ้นฝั่งมา ก่อไฟให้สัตว์ที่อ่อนแอกว่าผิงไฟก่อน ให้พระกุมารผิงทีหลัง เมื่อจะให้อาหารก็ให้สัตว์ทั้ง ๓ ชนิดก่อน ให้พระกุมารทีหลัง
พระกุมารผูกโกรธในฤาษีหาว่าไม่ให้เกียรติตน พอผ่านไปสองสามวัน น้ำเหือดแห้งแล้ว สัตว์ทั้งสามก็ร่ำลาฤาษี พร้อมบอกที่อยู่ของตน หากฤาษีเดือดร้อนอะไรจงบอก ส่วนพระกุมารก็ร่ำลาฤาษีเช่นกัน กลับไปถึงเมืองไม่นานก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติ
ฝ่ายฤาษี ต้องการจะทดสอบสัตว์ทั้ง ๔ ชนิด จึงไปที่อยู่ของงู หนูและนกแขกเต้าตามลำดับ สัตว์เหล่านั้นต่างก็ยินดีให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แล้วเข้าเมืองพักอยู่ที่สวนหลวง เพื่อทดสอบพระราชา รุ่งเช้าจึงออกเที่ยวภิกขาจาร
ฝ่ายพระราชา ในขณะนั้น กำลังประทับบนหลังช้างออกตรวจเมือง ทอดพระเนตรไปเห็นฤาษีแต่ไกลก็จำได้ รับสั่งให้ทหารจับฤาษีไปเฆี่ยนตีทุก ๔ แยกเมือง แล้วน้ำไปตัดศีรษะเสีย พวกทหารได้ทำเช่นนั้น ฤาษีไม่สะทกสะท้านอ้อนวอนอะไร เมื่อถูกเฆี่ยนตีทุก ๔ แยกเมือง กลับกล่าวคาถาว่า
" ได้ยินว่า คนบางพวกในโลกนี้ ได้กล่าวความจริงไว้อย่างนี้ว่า
ไม้ลอยน้ำยังดีกว่า ส่วนคนบางคนที่ประทุษร้ายมิตรไม่ดีเลย "
พวกราชบัณฑิตได้ฟังคำนั้นทุก ๔ แยก จึงถามเหตุนั้น พอฤาษีเล่าความจริงให้ฟังแล้ว เกิดความสลด จึงพากันกบฏจับพระราชาสำเร็จโทษเสียบนคอช้างนั้นเอง ทำการยกฤาษีขึ้นเป็นพระราชาแทน ฤาษีครั้นขึ้นครองราชย์แล้วต้องการทดสอบสัตว์อีก จึงไปที่อยู่ของงูและหนู สัตว์ทั้งสองได้มอบสมบัติจำนวน ๗๐ โกฏิให้พระราชา ส่วนนกแขกเต้าก็จะนำข้าวสาลีมาให้ในฤดู พระราชานำสัตว์ทั้งสามเข้าเมืองบำรุงเลี้ยงอย่างดี ครองราชโดยธรรม ประสบความร่มเย็นเป็นสุขตลอดอายุขัย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : เกิดเป็นคนต้องรู้จักบุญคุณของคน
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
ธรรมสำหรับต้นไม้
ธรรมสำหรับต้นไม้ (รุกขธัมมชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภถึงความพินาศใหญ่ที่กำลังจะเกิดแก่พระประยูรญาติของพระองค์ เพราะทะเลาะกันเรื่องน้ำ ขอให้สมานสามัคคีร่วมใจกัน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ท้าวเวสวรรณมหาราชถึงคราวจุติ จึงส่งข่าวไปยังเทพยดาให้จับจองต้นไม้ กอไผ่ พุ่มไม้และเครือไม้ทำเป็นวิมานสถานที่อยู่ รุกขเทวดาตนหนึ่ง จึงประกาศในท่ามกลางหมู่ญาติ ให้จับจองต้นไม้ทำเป็นวิมานสถานที่อยู่ อย่าไปอยู่บนเนิน ให้อยู่รวมกันที่ป่ารัง พวกเทพยดาที่เป็นบัณฑิตต่างก็ทำตามคำสั่งของรุกขเทวดานั้น ส่วนพวกเทพยดาผู้ไม่ใช่บัณฑิตไม่เชื่อคำ จึงพากันไปจับจองวิมานอยู่ตามประตูบ้าน ประตูเมือง ถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ด้วยหวังในลาภยศอันเลิศ ได้เลือกต้นไม้ใหญ่บนเนินเป็นวิมานที่อยู่อาศัย
อยู่มาวันหนึ่ง เกิดลมพายุฝนห่าใหญ่ถอนรากโคนต้นไม้ใหญ่ล้มลงหมด เหลือไว้แต่ป่ารังซึ่งอยู่ติดชิดกันหนาแน่น พวกเทพยดาที่อยู่ต้นไม้ใหญ่ต่างจูงลูกไปหาพวกรุกขเทวดาที่ป่ารัง ขออาศัยอยู่ด้วย รุกขเทวดาที่ป่ารังจึงกล่าวว่า
" ชื่อว่า ผู้ไม่เชื่อถือคำของหมู่บัณฑิต แล้วพากันไปสู่สถานที่อันหาปัจจัยมิได้ ย่อมเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น "
แล้วกล่าวคาถาว่า
" ญาติยิ่งมีมากยิ่งดี แม้ต้นไม้เกิดในป่า ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี (เพราะ)
ต้นไม้ที่ยืนต้นอยู่โดดเดี่ยว ถึงจะใหญ่โต ลมย่อมพัดให้หักโค่นได้ "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ทุกคนควรมีญาติพี่น้องเป็นที่พึ่งพิง
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
นกคุ่มโพธิสัตว์
นกคุ่มโพธิสัตว์ (วัฏฏกชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า เมื่อคราวเสด็จเที่ยวจาริกไปในมคธชนบททั้งหลาย ทรงปรารภการดับไฟป่า
เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง พระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ได้ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวมคธแห่งหนึ่ง ฉันเสร็จแล้วเสด็จไปตามทาง วันนั้น เกิดไฟป่ารอบด้าน พวกภิกษุปุถุชนต่างกลัวตายจึงพากันจะดับไฟ ถูกพวกภิกษุห้ามไว้และให้อยู่ในอาการที่สงบ ไฟป่าไหม้มารอบด้าน พอใกล้เข้ามาหาพื้นที่พระพุทธองค์และหมู่สงฆ์อยู่ก็ดับไปเอง สร้างความแปลกประหลาดใจแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อคลายความสงสัยของพวกภิกษุ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนกคุ่มผัวเมียคู่หนึ่งกำลังมีลูกน้อยตัวหนึ่ง ทุกวันนกคุ่มผัวเมียจะออกจากรังไปหาอาหารมาป้อนลูกนกอยู่เป็นประจำ
วันหนึ่ง เกิดไฟไหม้ป่ารอบข้าง นกต่างๆ รวมทั้งนกคุ่มสองผัวเมีย ได้บินออกจากรังไป เพราะกลัวตาย ปล่อยให้นกคุ่มลูกน้อยนอนผจญภัยอยู่ตามลำพัง นกคุ่มน้อยเมื่อเห็นไฟไหม้ใกล้เข้ามา จึงรำลึกถึงคุณแห่งศีลว่า
" คุณแห่งศีลมีอยู่ในโลก ความสัจ ความสะอาด และความเอ็นดู มีอยู่ในโลก
ด้วยความสัจนั้น ข้าพเจ้าจักทำสัจกิริยาอันยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าพิจารณากำลังแห่งธรรม
ระลึกถึงพระชินเจ้าทั้งหลายในปางก่อน อาศัยกำลังสัจจะ ขอทำสัจจกิริยา "
แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
" ปีกของเรา มีอยู่ แต่ก็บินไม่ได้ เท้าทั้งสองของเรา มีอยู่แต่ก็เดินไม่ได้
มารดาและบิดาของเรา ออกไปหาอาหาร นี่ไฟป่า ท่านจงถอยกลับไปเสีย "
ด้วยอำนาจแห่งการทำสัจกิริยาของลูกนกคุ่มไฟป่าได้ดับลงไปหมดสิ้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : คุณของศีลทำให้รอดพ้นภัยวิบัติได้
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
การทำเกินประมาณ
การทำเกินประมาณ (เภริวาทชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้ว่ายากรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในเมืองพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นช่างตีกลอง อาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในช่วงเทศกาลงานประจำปีในเมืองพาราณสี เขาได้ชวนลูกชายไปแสดงตีกลองเก็บเงินค่าดูได้จำนวนมาก
ในวันสุดท้ายของวันงานจึงเดินทางกลับบ้าน ลูกชายด้วยความคะนองและดีใจที่ได้เงินมาก จึงตีกลองไปตลอดทาง พอไปถึงดงโจรในระหว่างทาง พ่อจึงกล่าวว่า
" ลูกเอ๋ย เจ้าอย่าตีกลองไม่หยุดระยะ จงตีเป็นระยะ เหมือนกลองของทหารเดินทางสิ "
ลูกชายกลับพูดว่า
" ผมจักไล่พวกโจรให้หนีไปด้วยเสียงกลองนี้ " แล้วยิ่งกระหน่ำตีกลอง ไม่หยุดระยะเลย
ฝ่ายพวกโจรพอได้ยินเสียงกลองครั้งแรกก็คิดจะหนีไปเพราะนึกว่ากลองทหาร พอฟังนานๆไปก็เอ๊ะใจว่าไม่ใช่ จึงซุ่มดูอยู่ข้างทางเห็นมีเพียงสองพ่อลูกเท่านั้น จึงรุมทุบตีแย่งชิงทรัพย์เอาไปหมดสิ้น พ่อจึงกล่าวสอนลูกชายด้วยคาถาว่า
" เมื่อจะตีกลองก็ตีเถิด แต่อย่าตีเกินประมาณ เพราะการตีเกินประมาณ
เป็นการเสียหายของเรา ทรัพย์ตั้งร้อยที่ได้มาเพราะการตีกลอง ได้สูญเสียไป
เพราะเจ้าตีกลองเกินประมาณ "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าทำอะไรให้เกินประมาณเพราะจะสร้างความลำบากให้ภายหลัง
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
คนที่เหมาะสมกับเหตุการณ์
คนที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ (มหาสารชาดก)
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระอานนทเถระ เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งนั้น พระสนมของพระเจ้าโกศล มีความประสงค์จะศึกษาธรรมะ จึงขอโอกาสพระราชา นิมนต์พระสงฆ์รูปหนึ่งเข้ามาสอนธรรมะในพระราชวัง พระราชาทรงเห็นดีด้วย จึงกราบทูลแด่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงจัดส่งพระอานนทเถระเข้าไปแสดงธรรมในพระราชวัง
ต่อมาวันหนึ่ง พระจุฬามณีของพระราชาเกิดสูญหาย พระราชาจึงรับสั่งให้อำมาตย์ตรวจค้นผู้คนในพระราชวังทั้งหมด แต่ก็ไม่พบ ทำให้ผู้คนเกิดความเดือดร้อน
วันนั้น พระเถระเข้าไปพระราชวัง พบเห็นความผิดปกติของพระสนม ซึ่งทุกวันพอเห็นพระเถระมา จะพากันร่าเริงยินดี ตั้งใจเรียนธรรม แต่วันนั้น กลับดูเหงาหงอย ซึมเซา จึงถามดู เมื่อทราบความแล้ว จึงขอเข้าเฝ้าพระราชา และให้คำแนะนำว่า
" อุบายที่จะไม่ทำให้มหาชนลำบาก แล้วให้เขานำพระจุฬามณีมาคืน พอมีอยู่ โดยใช้บิณฑทาน กล่าวคือ พระองค์สงสัยคนเท่าใด ก็จับคนเท่านั้น แล้วให้ฟ่อนฟางหรือก้อนดินไปคนละก้อน บอกให้นำมาโยนทิ้งไว้ที่ห้องหนึ่ง คนที่ถือเอาพระจุฬามณีไป ก็จักซุกมากับฟ่อนฟางหรือก้อนดินนั้นนำมาโยนไว้ แล้วให้อำมาตย์ตรวจค้นดู วันแรกถ้ายังไม่พบ ก็พึงให้ทำเช่นนี้สัก ๓ วัน ผู้คนส่วนใหญ่ก็จะไม่พลอยลำบากด้วย "
พระราชารับสั่งให้ทำเช่นนั้นตลอด ๓ วัน ไม่มีใครนำแก้วจุฬามณีมาคืนเลย พระเถระถวายพระพรอีกว่า
" ถ้าเช่นนั้น โปรดรับสั่งให้ตั้งตุ่มใหญ่บรรจุน้ำเต็มไว้ในท้องพระโรง ทำม่านกั้นบังไว้แล้วให้ผู้คนทุกคนในพระราชวัง ห่มผ้าแล้วเข้าไปในม่านล้างมือที่ตุ่มทีละคนแล้วออกมา "
พระราชารับสั่งให้ทำเช่นนั้นปรากฏว่า ได้แก้วจุฬามณีกลับคืนมา ทรงดีพระทัยยิ่งนัก ผู้คนอาศัยพระเถระจึงพ้นจากทุกข์ได้ เรื่องนี้ทราบไปถึงพระพุทธองค์ พระองค์จึงได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์ เกิดเป็นอำมาตย์ในเมืองพาราณสี วันหนึ่ง พระราชา เสด็จประภาสอุทยาน เมื่อจะทรงอุทกกีฬา รับสั่งให้พวกสตรีเปลื้องอาภรณ์เครื่องประดับไว้กับหญิงรับใช้ แล้วลงสู่สระน้ำ ขณะนั้น มีนางลิงขาวตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในอุทยานนั้น ขณะหญิงรับใช้หลับ ได้ลักเอาสร้อยมุกดาแล้วกระโดดขึ้นต้นไม้นำไปซุกซ่อนไว้ในโพรงไม้แห่งหนึ่ง
ครั้นนางหญิงรับใช้ตื่นขึ้นมาไม่เห็นสร้อยมุกดา ก็ตัวสั่นจึงร้องตะโกนว่า
" มีคนแย่งสร้อยมุกดาของพระเทวีหนีไปแล้ว "
พวกทหารจึงรีบวิ่งตามจับโจร ขณะนั้น มีชายบ้านนอกคนหนึ่งเดินผ่านมา พอได้ยินเสียงนั้นก็ตกใจวิ่งหนี พวกทหารเห็นเขาหนีจึงวิ่งตามจับมาได้ ด้วยความกลัวตายชายคนนั้น จึงยอมรับว่า ได้ขโมยไปจริง เมื่อถูกถามหาว่านำไปไว้ไหน ก็บอกว่า มอบให้เศรษฐีไปแล้ว พระราชารับสั่งให้เศรษฐีมาเฝ้า เศรษฐีก็กราบทูลว่าได้มอบให้ปุโรหิตไปแล้ว ฝ่ายปุโรหิตก็กราบทูลว่าได้มอบให้คนธรรพ์ไปแล้ว คนธรรพ์ก็กราบทูลว่าได้มอบให้นางวัณณทาสีไปแล้ว ส่วนนางวัณณทาสีกราบทูลว่า มิได้รับไว้ เมื่อสอบสวนคนทั้ง ๕ คนกว่าจะทั่วทุกคน พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว พระราชาจึงรับสั่งว่า
" ต้องรู้เรื่องในวัน พรุ่งนี้ " จึงมอบคนทั้ง ๕ ให้อำมาตย์แล้วเสด็จกลับเข้าสู่พระนคร
ฝ่ายอำมาตย์คิดว่า " เครื่องประดับหายภายในสวน ส่วนคนเหล่านี้เป็นคนภายนอก การอารักขาก็เข้มแข็ง โอกาสที่คนข้างนอกหรือคนรับใช้ในสวนจะลักไม่มีวี่เเววเลย คำยอมรับของพวกเหล่านี้ ก็เพื่อปลดเปลื้องตนจากความผิดเท่านั้น สวนนี้มีลิงอาศัยอยู่มาก เครื่องประดับคงตกอยู่ในมือของลิงตัวหนึ่งเป็นแน่ "
จึงขอให้มอบโจรทั้ง ๕ คนแก่ตน แล้วนำไปขังไว้ในห้องเดียวกัน สั่งให้ทหารแอบฟังดูว่า
" พวกโจรนี้จะปรึกษาอะไรกันบ้าง "
พอตกดึก เศรษฐีจึงถามชายบ้านนอกว่า
" มึงเคยพบกูที่ไหน มึงเคยให้เครื่องประดับกูตั้งแต่เมื่อไร ? "
ส่วนชายบ้านนอกรีบขอโทษแล้วกล่าวว่า
" ผมก็ไม่รู้จักสร้อยมุกดาด้วยซ้ำไป ที่อ้างท่านก็เพราะจะอาศัยท่านรอดพ้นจากอันตราย "
ฝ่ายปุโรหิตก็ถามเศรษฐีว่า
" เมื่อชายคนนั้นไม่ได้มอบเครื่องประดับแก่ท่าน แล้วท่านเอามามอบให้ข้าพเจ้าตั้งแต่เมื่อใด "
เศรษฐีจึงกล่าวว่า
" ข้าพเจ้ากล่าวไปก็เพราะเราทั้งสองเป็นคนใหญ่คนโต ช่วยกันพูดการงานก็จะสำเร็จด้วยดี "
ปุโรหิตก็พูดกับคนธรรพ์ว่าที่ข้าพเจ้ากล่าวตู่ท่าน ก็เพื่อที่จะอาศัยท่านอยู่เป็นสุขในห้องขัง ส่วนคนธรรพ์ก็กล่าวกับนางวัณณทาสีว่า ที่ข้าพเจ้ากล่าวตู่ท่านก็เพื่อที่จะอาศัยท่านในเรื่องเพศสัมพันธ์ พวกเราจักไม่ต้องหงอยเหงาอยู่ร่วมกันอย่างสบาย
อำมาตย์ ฟังคำรายงานนั้นจากทหารแล้ว ก็ทราบแน่ชัดว่าคนทั้ง ๕ นั้นไม่ใช่โจร จึงสั่งให้ทำเครื่องประดับยางไม้ เสร็จแล้วให้จับลิงมาประดับหลายตัวแล้วปล่อยไป สั่งให้ทหารสังเกตดู พวกลิงที่ได้เครื่องประดับไปแล้วก็อวดเครื่องประดับกันเกรียวกราว นางลิงนั้น พอเห็นเพื่อนมีเครื่องประดับก็ทนไม่ได้ จึงไปนำสร้อยมุกดามาประดับอวดตน พวกทหารเห็นเช่นนั้น จึงนำกลับมามอบให้แก่อำมาตย์
อำมาตย์ ได้นำสร้อยมุกดาเข้ากราบทูลแด่พระราชาและกราบทูลความจริงให้ทรงทราบ พระราชาทรงดีพระทัย เมื่อจะชมเชยอำมาตย์จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
" ยามคับขัน ประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ
ยามปรึกษาการงาน ต้องการคนไม่พูดพล่าม
ยามมีข้าวน้ำ ต้องการคนเป็นที่รักของตน
ยามเกิดปัญหา ต้องการบัณฑิต "
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ใช้คนให้ถูกกับสถานการณ์
เครดิต ; www.dhammathai.org
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs links 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.......................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.