“นางอัปสราแสนงาม” ที่ปราสาทพระขรรค์
“ปราสาทพระขรรค์” (Preah Khan) เป็นหมู่ปราสาทแผนผังขนาดใหญ่ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดฯ ให้สร้างขึ้นในบริเวณที่ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพจามปา ตามจารึกปราสาทพระขรรค์ (K.908) ที่กล่าวว่า “...พระองค์โปรดให้สร้างเมืองชยศรี (Jayaśrī - ปราสาทพระขรรค์) ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ในทรงได้รับชัยชนะเหนือกองทัพจาม ที่นำทัพเรือเข้ามาตีนครยโสธรปุระ “...ทรงสถาปนาเมืองชยศรีที่มีการประดับตกแต่งด้วยทอง ดอกบัวและหิน เพื่อกลบร่องรอยคราบเลือดบนพื้นดินที่ได้เห็นในทุกวันนี้...” ( โศลก- verse 32) “...เพื่อให้นครแห่งนี้มีความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับเมืองประยงค์ (Prayága - เมืองอัลลาฮาบัด ในประเทศอินเดีย) ซึ่งเป็นที่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง (คงคาและยมุนา) มาบรรจบกัน (โศลก 33)
“...ทรงโปรดให้สร้างรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระนามว่า “พระศรีชยวรเมศวร” (Śrī-Jayavarmeśvara) อุทิศถวายแก่พระราชบิดา (ในรูปศิลปะของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งอานุภาพบารมี (Bodhisattva Avalokitevara Irradiant) ที่มีเค้าพระพักตร์ของพระเจ้าศรีธรณินทรวรมันที่ 2 ในวัยหนุ่ม ประดิษฐานอยู่ที่คูหามุขทางทิศเหนือของตัวปราสาทประธาน) ...ที่รอบ ๆ “อรยาอวโลกิเตศวร” (Ārya-Avalokiteśa) ยังโปรดให้สร้างรูปเทพเจ้าจำนวน 200 และ 83 องค์ ...ด้านตะวันออกโปรดให้สร้างเทวรูป 3 องค์ องค์แรก คือ “พระศรีตรีภูวนวรเมศวร” (Śrī Tribhuvanavarmeśvara)...ทางทิศใต้ โปรดให้สร้างเทวรูป 32 องค์ องค์แรกคือ “พระศรียโศวรเมศวร” (Śrī Yaśovarmeśvara)...ทางทิศตะวันตก โปรดให้สร้างเทวรูป 30 องค์ไว้ เริ่มต้นด้วย “พระศรีจามเปศวร”(Śrī Cāmpeśvara)...ทางทิศเหนือ โปรดให้สร้างเทวรูป 30 องค์ไว้ เริ่มต้นด้วยภาพพระศิวบาท (Śivapāda) ...เทวรูปองค์หนึ่งอยู่ในยุ้งข้าว ตรงทางรอบ ๆ ที่บูชา 10 องค์ อยู่ในศาลาที่พัก 4 องค์ อยู่ที่โรงพยาบาล 3 องค์...เทวรูป 24 องค์ อยู่ในประตูทางออกทั้ง 4 ด้าน รวมทั้งหมด 430 องค์....” (โศลก 34 – 40) นอกนั้นเป็นพระเทวรูปที่สร้างไว้ตามจุดต่าง ๆ รวมเป็นพระเทวรูปทั้งหมด 515 องค์
“....รอบปราสาท...มีหมู่บ้าน 5,324 แห่ง ผู้คนชายหญิง 97,840 คน....ภายในปราสาทมีห้องเล็กทั้งหมด 439 ห้องกุฎี (kuṭis) โหราจารย์ 1 คน ผู้ช่วยอาจารย์ 15 คน นักบวช 338 คน ฝ่ายไศวะมี 39 คน และนักเรียน-ข้าวัด 1,000 คน... ....มีพ่อครัว 44 คน ....พระองค์ได้พระราชทาน ข้าวสุก งา ถั่ว เนยเหลว นมข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำมันงา น้ำมัน ผลไม้ ผ้าไหมกันยุง ผ้าสักหลาดสีขาวและสีแดง สำหรับตกแต่งรูปพระโพธิสัตว์ พร้อมด้วยผ้าสี่เหลืองแก่สำหรับคลุมเตียงและเก้าอี้ ....ยางสน ไม้จันทน์ ไม้กฤษณา การบูร ไม้หอมและเครื่องหอมเป็นเครื่องสักการะ บูชาแก่เทวรูปที่เป็นมงคลตามคติการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในทางศาสนา...”
“....มีการแจกจ่ายให้โดยไม่คิดมูลค่าแก่ผู้ที่อยู่ในบ้านของเหล่าคุรุ นักบวชและนักเรียนเป็นส่วนบุคคล ในเวลามีงานเทศกาลสงกรานต์ และงานนักขัตฤกษ์ จะโปรดให้ตั้งโรงทาน ...ประกอบด้วยข้าวสุกคุณภาพดีเยี่ยม งา ถั่ว นมข้น น้ำผึ้ง น้ำมันงา พริกไทย ขี้ผึ้ง เกลือ ไม้จันทร์ การบูร เส้นไหม ห่วงทอง โค ภิกษุ ทอง กระป๋อง คนโทใส่น้ำ เตียงนอน หมอนอ่างทำด้วยทองแดง มุ้งแพรจีน หมอนอิง เสื่อจีน หีบจีน ตลับใส่เครื่องหอม หนังวัวสี น้ำตาล รองเท้าไม้ โคภิกษาและเขาสัตว์หุ้มทอง ผ้าคลุมผ้าสีต่างๆ ช้าง ทาสหญิง ควาย....นอกจากนี้ยังมีสิ่งของที่ทำด้วยทอง แก้วไพฑูรย์ ทับทิม ไข่มุกทองแดง ทองสำริด ชาม ทอง ดีบุกสีขาว ตะกั่ว ตะกั่วสีดา
ฯลฯ...”
-------------------------------------
*** ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการพบรูปสลักนูนสูงนางอัปสรา (Apsarā) มีงานรายละเอียดงานศิลปะที่งดงามมากกว่ารูปนางอัปสราที่เคยเห็นในยุคบายน ในซอกหลืบหินที่พังทลายลงมาของตัวกุฏีทรงปราสาทหลังเล็กคู่หนึ่ง ที่ตั้งอยู่ด้านในติดกับระเบียงคดชั้นนอกฝั่งทิศเหนือ ใกล้กับประตูเล็ก ๆ ช่วงปลายกำแพงเชื่อมต่อระหว่างวิหารผังกากบาทด้านหน้าของหมู่ปราสาทกับระเบียงคด
ด้วยเพราะถูกชิ้นส่วนหินก่อของยอดกุฏีพังลงมาทับ ภาพสลักนางอัปสรา 2 จึงรอดพ้นมาจากการกัดกร่อนของน้ำฝนและสภาพภูมิอากาศ ซึ่งก็ได้มีการแต่งเรื่องเล่ากันว่ารูปอัปสราที่มีความงดงามทั้ง 2 นี้ คือรูปของ “พระนางชยราชเทวี” (Jayarajadevī) และ“พระนางอินทรเทวี” (Indradevī) มเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (จากจารึกปราสาทพิมานอากาศ K.485) เวลาที่มีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาในโซนนี้ ก็จะมีแม่ชีเป็นพนักงานนำทาง และบริการธูปจุดเทียนให้กราบไหว้และบริจาคตามแต่กำลังศรัทธา
*** แต่เหมือนว่าคนแต่งเรื่องนี้จะลืมชื่อพระนาม “พระนางราเชนทรเทวี” (Rājendradevī) พระมเหสีองค์แรกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระราชมารดาใน “เจ้าชายวีรกุมาร” (Śrī-Vīírakumāra) พระโอรสที่เป็นผู้ให้จารเรื่องราวต่าง ๆ ในจารึกปราสาทพระขรรค์ที่เป็นจารึกสำคัญของปราสาทหลังนี้เอง
อาคารกุฎีที่มีรูปสลักนางอัปสรา ประดับผนังข้างซุ้มประตูที่งดงามนี้ คงเป็นอาคารที่มีความสำคัญด้วยเพราะเป็นด้านหน้า ทั้งสองรูปประดับอยู่คนละหลัง หลังทางทิศใต้ที่ยังมียอดอยู่ดูจะมีอายุมากกว่า แต่มีรายละเอียดความงดงามมากกว่ารูปบนผนังทางทิศเหนือ ที่ดูงานเครื่องประดับประดับเหมือนกับรูปสลักนางอัปสราที่ปราสาทบายน ที่เป็นงานฝีมือระดับช่างหลวงในยุคสมัยเดียวกัน (แต่ไม่ถูกฝนชะล้าง จึงไม่สึกกร่อนมากนัก)
ส่วนรูปอัปสราฝั่งด้านใต้ ที่ถูกหินหลังคาหล่นจากอีกหลังหนึ่งถล่มลงมาทับปิดไว้จนเหลือเพียงซอกหลืบเล็ก ๆ ดูมีอายุมากกว่า มีสันจมูกโด่ง มีช่องกลมที่คิ้วเหมือนเคยมีการประดับอัญมณี ขีดเส้นโค้งในตาเป็นลูกตาดำแบบเปิดตา ยิ้มที่มุมปากแบบบายน คางเป็นร่อง กรอศอและสังวาลเม็ดกลมต่อกันเป็นแถบสายใหญ่ พาดกลางร่องอกที่เต่งตึงลงมาแยกออกไปคล้องสะโพก คล้องสายมาลัยถักยาว (วนมาลา) หน้าท้องใต้สะดือ มีเส้นขีด 3 ริ้ว ในความหมายของผู้หญิงที่มีอายุ (หรือมีลูกแล้ว) นุ่งผ้าซิ่นยาวลายดอกไม้จีน ทิ้งชายพกเป็นริ้วหางปลาปลายแหลม รัดเข็มขัดมีพู่อุบะเป็นระยะ ด้านข้างรูปสลักเป็นช่องแยกของผนังหิน ที่กลายเป็นทางน้ำไหลทำให้ผนังโดนน้ำซึมจนหินสลักแตกกะเทาะออกไป
*** หากยิ่งยืนพินิจในความงดงามที่แตกต่าง ท่ามกลางความมืดสลัวของรูปอัปสรานางนี้ ก็ชวนให้เชื่อแล้วว่า นี่อาจเป็นภาพสลักที่ทำขึ้นอุทิศแก่ “พระนางราเชนทรเทวี-ชยราชเทวี” บนผนังของอาคารกุฎีปราสาท ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าปราสาทพระขรรค์นี้จริง ๆ
เครดิต ; FB
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................
วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2563
นางอัปสรา
องคุลีมาล
ชื่อดั้งเดิมของแต่ละจังหวัด
ชื่อดั้งเดิมของแต่ละจังหวัด
ชื่อเก่าของ 77 ประเทศไทย และตราประจำจังหวัดนั้น นั้นเรียกว่าอะไร และเป็นสัญลักษณ์อย่างไรกันบ้าง เริ่มกันที่...
ภาคเหนือมี 9 จังหวัด
1 จังหวัดเชียงราย ชื่อเก่าคือ เวียงชัยนารายณ์ ตราประจำจังหวัดเป็น รูปช้างสีขาวกับเมฆลอย ที่ขอบตรามีรูปนาคเกี้ยว...
2 จังหวัดเชียงใหม่ ชื่อเก่าคือ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ หรือ เวียงพิงค์ ตราประจำจังหวัดเป็น รูปช้างเผือกยืนอยู่ในเรือนแก้ว...
3 จังหวัดน่าน ชื่อเก่าคือ เมืองนันทบุรี เมืองน่าน เมืองนาน ตราประจำจังหวัดเป็น รูปพระธาตุแช่แห้งบนหลังโคศุภราช...
4 จังหวัดพะเยา ชื่อเก่าคือ เมืองภูกามยาว หรือ พยาว ตราประจำจังหวัดเป็นรูป พระเจ้าตนหลวงสีโคมดำ ประทับเหนือกว๊านพะเยา มีช่อรวงข้าวประดับอยู่ 2 ข้าง และลายกนกเปลว 7 ลายลอยอยู่...
5 จังหวัดแพร่ ชื่อเก่าคือ เมืองพลนคร หรือ เวียงโกศัย ตราประจำจังหวัดเป็น รูปพระธาตุช่อแฮบน หลังม้าแก้วมหาพลอัศวราช...
6 จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชื่อเก่าคือ หมู่บ้านว่า "แม่ร่องสอน เพี้ยนเป็น "แม่ฮ่องสอน" ตราประจำจังหวัดเป็น รูปช้างเล่นน้ำ...
7 จังหวัดลำปาง ชื่อเก่าคือ เมืองเขลางค์นคร ตราประจำจังหวัดเป็นรูป ไก่ยืนอยู่ในประตูมณฑป วัดพระธาตุลำปางหลวง...
8 จังหวัดลำพูน ชื่อเก่าคือ เมืองหริภุญไชย ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระธาตุหิริภุญชัย...
9 จังหวัดอุตรดิตถ์ ชื่อเก่าคือ บางโพธิ์ท่าอิฐ สมัยก่อนเป็นเพียงตำบลเท่านั้น ตราประจำจังหวัดเป็นรูปมณฑปประดิษฐานพระแท่นศิลาอาสน์มีลวดลายกนกประกอบ...
ภาคกลางมี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
10 จังหวัดกำแพงเพชร ชื่อเก่าคือ เมืองชากังราว หรือ เมืองนครชุม ตราประจำจังหวัดเป็นรูปกำแพงเมืองมีใบเสมาประดับเพชร...
11 จังหวัดชัยนาท ชื่อเก่าคือ เมืองแพรก หรือ เมืองสรรค์ ตราประจำจังหวัดเป็นรูปธรรมจักรหน้าภูเขาซึ่งหมายเอาได้ถึง เขาสรรพยา และเขาธรรมามูล...
12 จังหวัดนครนายก ชื่อเก่าคือ เมืองนายก ตราประจำจังหวัดเป็นรูปช้างชูรวงข้าวเบื้องหลังเป็นลอมฟาง...
13 จังหวัดนครปฐม ชื่อเก่าคือ เมืองนครไชยศรี หรือ ศรีวิชัย ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระปฐมเจดีย์ประดับด้วยเครื่องหมายเลข 4 ไทยในพระมหาพิชัยมงกุฎ...
14 จังหวัดนครสวรรค์ ชื่อเก่าคือ เมืองพระบาง หรือ เมืองชอนตะวัน ตราประจำจังหวัดเป็นรูปวิมานสามยอด...
15 จังหวัดนนทบุรี ชื่อเก่าคือ บ้านตลาดขวัญ, เมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร, เมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน เมืองนนทบุรีศรีเกษตราราม ตราประจำจังหวัดเป็นหม้อน้ำดินเผาลายวิจิตร หมายถึงชาวจังหวัดนนทบุรีมีอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผาซึ่งมีชื่อเสียงมาช้านาน...
16 จังหวัดปทุมธานี ชื่อเก่าคือ เมืองสามโคก หรือ เมืองประทุมธานี ตราประจำจังหวัดเป็นรูปบัวหลวง ชูรวงข้าว ข้าวชูช่อเหนือน้ำ...
17 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชื่อเก่าคือ อโยธยา, อโยธยาศรีรามเทพนคร, กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา ตราประจำจังหวัดเป็นรูปสังข์ทักษิณาวัตรประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้าในปราสาทใต้ต้นหมัน...
18 จังหวัดพิจิตร ชื่อเก่าคือ เมืองสระหลวง เมืองโอฆะบุรี เมืองชัยบวร, เมืองปากยม ตราประจำจังหวัดเป็นรูปต้นโพธิ์ริมสระหลวง...
19 จังหวัดพิษณุโลก ชื่อเก่าคือ เมืองสองแคว ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระพุทธชินราช พระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลก...
20 จังหวัดเพชรบูรณ์ ชื่อเก่าคือ เพชบุระ ตราประจำจังหวัด เป็นรูปเพชรกับภูเขาและไร่ยาสูบ...
21 จังหวัดลพบุรี ชื่อเก่าคือ ละโว้ ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระนารายณ์สี่กรประทับยืนอยู่บนพระปรางค์สามยอด...
22 จังหวัดสมุทรปราการ ชื่อเก่าคือ เมืองพระประแดง, เมืองนครเขื่อนขันธ์, จังหวัดพระประแดง ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระสมุทรเจดีย์...
23 จังหวัดสมุทรสงคราม ชื่อเก่าคือ เมืองแม่กลอง ตราประจำจังหวัดเป็น
กลองลอยน้ำ...
24 จังหวัดสมุทรสาคร ชื่อเก่าคือ เมืองสาครบุรี ตราประจำจังหวัดเป็น รูปสำเภาจีนในแม่น้ำท่าจีน...
25 จังหวัดสิงห์บุรี ชื่อเก่าคือ เมืองสิงหราชาธิราช, เมืองสิงหราชา, เมืองสิงห์ ตราประจำจังหวัดเป็น รูปอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันในวงกลมขอบวงกลมเป็นแถบสีธงชาติ...
26 จังหวัดสุโขทัย ชื่อเก่าคือ ศรีสัชนาลัย ตราประจำจังหวัดเป็น รูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราชประทับอยู่บนพระแท่นมนังคศิลาอาสน์...
27 จังหวัดสุพรรณบุรี ชื่อเก่าคือ เมืองทวารวดีศรีสุพรรณภูมิ, พันธุมบุรี, สองพันบุรี, อู่ทอง ตราประจำจังหวัดเป็นรูปการทำยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรกับพระมหาอุปราชามังกะยอชวา ที่ตำบลหนองสาหร่ายปีพ.ศ 2135...
28 จังหวัดสระบุรี ชื่อเก่าคือ หระรี , ปากเพรียว ตราประจำจังหวัดเป็น รูปมณฑปพระพุทธบาทสระบุรี...
29 จังหวัดอ่างทอง ชื่อเก่าคือ เมืองวิเศษชัยชาญ ตราประจำจังหวัดเป็น รูปรวงข้าว ในอ่างน้ำสีทอง...
30 จังหวัดอุทัยธานี ชื่อเก่าคือ เมืองอู่ไทย หรือ เมืองอุไทย ตราประจำจังหวัดเป็นรูปสมเด็จพระปฐมบรมหาชนก เบื้องหลังคือเขาสะแกกรัง...
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมี 20 จังหวัด
31 จังหวัดกาฬสินธุ์ ชื่อเก่าคือ บ้านแก่งสำเริง หรือ บ้านแก่งสำโรง ตราประจำจังหวัดเป็นรูปติณชาติ คือหญ้า กาฬสินธุ์ บึงสีน้ำดำ ภูเขาและเมฆ...
32 จังหวัดขอนแก่น ชื่อเก่าคือ เมืองขามแก่น ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระเจดีย์ก่อไว้บนตอไม้หมายถึงพระธาตุขามแก่น...
33 จังหวัดชัยภูมิ ชื่อเก่าคือ บ้านหลวง ตราประจำจังหวัดเป็นรูปธง สามชาย อันเป็นธงชัยประจำกองทัพสมัยโบราณ...
34 จังหวัดนครพนม ชื่อเก่าคือ เมืองมรุกขนคร เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่กลายเป็น เมืองศรีโคตรบรูณ์ ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระธาตุพนม...
35 จังหวัดนครราชสีมา ชื่อเก่าคือ โคราช หรือ โคราฆะ กับเมือง เสมา ตราประจำจังหวัดเป็นอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีหน้าประตูชุมพล...
36 จังหวัดบึงกาฬ ชื่อเก่าคือ ชัยบุรี (เมืองไชยบุรี) ตราประจำจังหวัดเป็น ภูทอก บึงโขงหลงและต้นไม้...
37 จังหวัดบุรีรัมย์ ชื่อเก่าคือ โนนม่วง เมืองแปะ ตราประจำจังหวัดเป็นรูป เทพยดาฟ้อนรำหน้าปราสาทหินพนมรุ้ง...
38 จังหวัดมหาสารคาม ชื่อเก่าคือ บ้านลาดกุดยางใหญ่ ตราประจำจังหวัดเป็นรูปทุ่งนาและต้นรังมาจากชื่อเมืองมหาสาลคามหมายถึงหมู่บ้านต้นรังใหญ่ซึ่งสะกดเพี้ยนมาเป็นมหาสารคามในปัจจุบัน...
39 จังหวัดมุกดาหาร ชื่อเก่าคือ เมืองมุกดาหาร ตราประจำจังหวัดเป็นรูปปราสาทสองนางสถิตย์ประดิษฐานแก้วมุกดาหาร...
40 จังหวัดยโสธร ชื่อเก่าคือ สมัยก่อนเป็นหมู่บ้านเรียกว่า บ้านสิงห์ท่า ต่อเป็นเมืองยโสธรมีฐานะเป็นเมืองประเทศราช ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ตราประจำจังหวัดเป็น รูปพระธาตุอานนท์พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองในวัดมหาธาตุมีสิงห์ขนาบข้าง 2 ข้าง มาจากชื่อที่ตั้งเมื่อแรกสร้างคือเมืองสิงห์ท่า รูปดอกบัวบานหมายถึงจังหวัดยโสธรแยกมาจากอุบลราชธานี รัศมีบนยอดแปดแฉก หมายถึงอำเภอทั้ง 8 ของจังหวัด...
41 จังหวัดร้อยเอ็ด ชื่อเก่าคือ สาเกตนคร หรือ เมืองร้อยเอ็จประตู ตราประจำจังหวัดเป็นรูปศาลหลักเมืองบนเกาะกลาง บึงพลาญชัยเบื้องหลังเป็นรูปพระมหาเจดีย์ชัยมงคลโดยมีกรอบรูปวงกลม เป็นรูปรวงข้าวล้อมรอบ...
42 จังหวัดเลย ชื่อเก่าคือ หมู่บ้านแฮ่ หรือ เมืองเลย ตราจังหวัดเป็นรูป พระธาตุศรีสองรัก เบื้องหลังเป็นทิวเขา...
43 จังหวัดสกลนคร ชื่อเก่าคือ เมืองหนองหานหลวง หรือ เมืองสกลทวาปี
ตราประจำจังหวัดเป็นรูป พระธาตุเชิงชุม หน้าหนองหานหลวงและดอนสวรรค์...
44 จังหวัดสุรินทร์ ชื่อเก่าคือ เมืองประทายสมันต์ ตราประจำจังหวัดเป็นรูปพระอินทร์ประทับบนแท่นศรีษะช้างเอราวัณหน้าปราสาทหินศีขรภูมิ...
45 จังหวัดศรีสะเกษ ชื่อเก่าคือ เมืองขุขันธ์ ตราประจำจังหวัดเป็นรูปปรางค์กู่มีดอกลำดวน 6 กลีบรองรับอยู่เบื้องล่าง...
46 จังหวัดหนองคาย ชื่อเก่าคือ บ้านไผ่ ตราประจำจังหวัดเป็นรูปกอไผ่ริมหนองน้ำ...
47 จังหวัดหนองบัวลำภู ชื่อเก่าคือ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน หรือ เมืองกมุทธาสัย ตราประจำจังหวัด เป็นรูป สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประทับยืนหน้าศาลา หลังเป็น หนองบัวลำภู...
48 จังหวัดอุดรธานี ชื่อเก่าคือ บ้านหมากแข้ง หรือ บ้านเดื่อหมากแข้ง
ตราประจำจังหวัดเป็น รูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวร เทพเจ้าประจำทิศเหนือ...
49 จังหวัดอุบลราชธานี ชื่อเก่าคือ ดอนมดแดง หรือ ดงอู่ผึ้ง ตราประจำจังหวัดเป็น รูปดอกบัวพ้นน้ำ...
50 จังหวัดอำนาจเจริญ ชื่อเก่าคือ เมืองค้อ ตราประจำจังหวัดเป็น รูปพระมงคลมิ่งเมืองพระพุทธรูปสำคัญประจำจังหวัด...
ภาคตะวันตกมี 5 จังหวัด
51. จังหวัดกาญจนบุรี ชื่อเก่าคือ ปากแพรก หรือ ศรีชัยยะสิงหปุระ
ตราประจำจังหวัดเป็นรูป ด่านพระเจดีย์สามองค์...
52 จังหวัดตาก ชื่อเก่าคือ เมืองตาก ตราจังหวัดเป็นรูป สมเด็จพระนเรศวรทรงหลั่งทักษิโณทกเหนือคอช้าง...
53 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชื่อเก่าคือ เมืองบางนารม หรือ เมืองนารัง, เมืองกุย ตราจังหวัดเป็นรูปพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์และมีเกาะหลักอยู่เบื้องหลัง...
54 จังหวัดเพชรบุรี ชื่อเก่าคือ พริบพรี หรือ ศรีชัยวัชรบุรี ตราจังหวัดเป็นรูป ทุ่งนาต้นตาลโตนด และพระนครคีรี...
55 จังหวัดราชบุรี ชื่อเก่าคือ เมืองราชบุรี หรือ มณฑลราชบุรี ตราจังหวัดเป็นรูป เครื่องราชกกุธภัณฑ์ 2 ชนิด คือพระบาทเชิงงอนและพระแสงขรรค์ชัยศรี...
ภาคตะวันออกมี 7 จังหวัด
56 จังหวัดจันทบุรี ชื่อเก่าคือ ควนคราบุรี (เมืองกาไว), เมืองจันทบูร ตราจังหวัดเป็นรูป ตรานี้เป็นตราเดิมในธงประจำกองลูกเสือมณฑลจันทบุรี...
57 จังหวัดฉะเชิงเทรา ชื่อเก่าคือ แปดริ้ว ตราจังหวัดเป็นรูป พระอุโบสถหลังใหม่วัด โสธรวรารามวรวิหาร...
58 จังหวัดชลบุรี ชื่อเก่าคือ เมืองพระรถ, เมืองศรีพโล, เมืองพญาแร่, เมืองบางปลาสร้อย, เมืองพนัสนิคม, เมืองบางละมุง, เมืองชลบุรีศรีมหาสมุทร
ตราจังหวัดเป็นรูป เขาสามมุข และริมทะเลอ่าวไทย...
59 จังหวัดตราด ชื่อเก่าคือ เมืองกราด หรือ เมืองตราด ตราจังหวัดเป็นรูป โป๊ะเรือใบ และเกาะช้าง...
60 จังหวัดปราจีนบุรี ชื่อเก่าคือ เมืองพระรถ, เมืองศรีมโหสถ, เมืองอวัธยปุระ ตราจังหวัดเป็น รูปต้นศรีมหาโพธิ์...
61 จังหวัดระยอง ชื่อเก่าคือ ราย็อง ตราจังหวัดเป็น รูป พลับพลาที่ประทับของรัชกาลที่ 5 บนเกาะเสม็ด..
62 จังหวัดสระแก้ว แต่ก่อนไม่ได้เป็นจังหวัด เป็นกิ่งอำเภอ ชื่อมาจากสระน้ำที่อยู่กลางเมือง ตราจังหวัดเป็น รูปนี้กรมศิลป์ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ เป็นรูปพระ ประทับยืนอยู่บนดอกบัว...
ภาคใต้มี 14 จังหวัด
63 จังหวัดกระบี่ ชื่อเก่าคือ แขวงเมืองปกาสัย ตราจังหวัดเป็นรูปกระบี่ไขว้เบื้องหลังเป็นรูปภูเขา และทะเล...
64 จังหวัดชุมพร ชื่อเก่าคือ ชุมนุมพล ตราจังหวัดเป็น รูปเทวสตรียืนประทานพรหน้าค่ายมีต้นมะเดื่อขนาบอยู่ 2 ข้าง....
65 จังหวัดตรัง ชื่อเก่าคือ เมืองทับเที่ยง, เมืองควนธานี ตราจังหวัดเป็น รูปกระโจมไฟท่าเรือและลูกคลื่นในท้องทะเล...
66 จังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อเก่าคือ เมืองตามพรลิงค์, ศิริธรรมนคร, ศรีธรรมราช ตราจังหวัดเป็น รูปพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชมี 12 นักษัตรล้อม...
67 จังหวัดนราธิวาส ชื่อเก่าคือ มะนาลอ, บางนรา, เมืองระแงะ ตราจังหวัดเป็นรูปเรือกอและกลางใบแล่นลมเต็มที่ภายในใบเรือเป็นรูปธงช้างเผือก ส่งเครื่องคชชาภรณ์ รูปช้างนั้นหมายถึงพระศรีนรารัตน์ราชกิริณี ช้างสำคัญ ซึ่งจังหวัดนราธิวาสได้น้อมถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อปีพศ 2520...
68 จังหวัดปัตตานี ชื่อเก่าคือ เมืองตานี ตราจังหวัดเป็นรูปปืนใหญ่สีปัตตานีหรือนางพญาปัตตานี...
69 จังหวัดพังงา ชื่อเก่าคือ เมืองภูงา, บ้านกระพูงา, พิงงา ตราจังหวัดเป็นรูปเรือขุดเหมืองเขารูปช้างและเกาะตะปู...
70 จังหวัดพัทลุง ชื่อเก่าคือ คูหาสวรรค์ ตราจังหวัดเป็น รูปเขาอกทะลุ...
71 จังหวัดภูเก็ต ชื่อเก่าคือ บูกิต, ภูเก็จ, จังซีลอน, ถลาง ตราจังหวัดเป็นรูปอนุสาวรีย์ ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร วาดจากของจริง...
72 จังหวัดระนอง ชื่อเก่าคือ เมืองแร่นอง ตราจังหวัดเป็น รูปปราสาทตั้งอยู่บนภูเขา มีรูปเลข 5 ไทยประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า...
73 จังหวัดสตูล ชื่อเก่าคือ มูเก็มสโตย-ละงู, นครีสโตย, มำบังนังคะรา ตราจังหวัดเบน รูปพระสมุทรเทวาประทับนั่งบนพระแท่นหิน เบื้องหลังเป็นพระอาทิตย์อัสดง...
74 จังหวัดสงขลา ชื่อเก่าคือ สิงหนคร (สิง-หะ-นะ-คะ-ระ), สิงหลา, สิงขร ตราจังหวัดเป็น รูป ของสังข์ วางอยู่บนพานแว่นฟ้า...
75 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชื่อเก่าคือ เมืองไชยา, เมืองกาญจนดิษฐ์ ตราประจำจังหวัดเป็น รูปพระบรมธาตุไชยา...
76 จังหวัดยะลา ชื่อเก่าคือ ยาลอ ตราจังหวัดเป็นรูปคนงานทำเหมืองดีบุก...
77. จังหวัดบึงกาฬ มีชื่อเดิมว่าบ้านบึงกาญจน์ มีฐานะเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอไชยบุรีจังหวัดนครพนม ต่อมาได้มีการย้ายที่ว่าการอำเภอไชยบุรีมาตั้งที่บ้านบึงกาฬ คงชื่ออำเภอไชยบุรีตาม ขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ. 2482.
เครดิต ; FB
ดร.สุวิจักขณ์ ภานุสรณ์ฐากูร
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................
รายชื่อ 77 จังหวัดของประเทศไทย (แบ่งตามภาคออกเป็น 6 ภาค)
1. ภาคเหนือ / 9 จังหวัด
1.จังหวัดเชียงราย
2.จังหวัดเชียงใหม่
3.จังหวัดน่าน
4.จังหวัดพะเยา
5.จังหวัดแพร่
6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน
7.จังหวัดลำปาง
8.จังหวัดลำพูน
9.จังหวัดอุตรดิตถ์
............................................................................................................
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ / 20 จังหวัด
1.จังหวัดกาฬสินธุ์
2.จังหวัดขอนแก่น
3.จังหวัดชัยภูมิ
4.จังหวัดนครพนม
5.จังหวัดนครราชสีมา
6.จังหวัดบึงกาฬ
7.จังหวัดบุรีรัมย์
8.จังหวัดมหาสารคาม
9.จังหวัดมุกดาหาร
10.จังหวัดยโสธร
11.จังหวัดร้อยเอ็ด
12.จังหวัดเลย
13.จังหวัดสกลนคร
14.จังหวัดสุรินทร์
15.จังหวัดศรีสะเกษ
16.จังหวัดหนองคาย
17.จังหวัดหนองบัวลำภู
18.จังหวัดอุดรธานี
19.จังหวัดอุบลราชธานี
20.จังหวัดอำนาจเจริญ
............................................................................................................
3.ภาคกลาง
มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)
1.จังหวัดกำแพงเพชร
2.จังหวัดชัยนาท
3.จังหวัดนครนายก
4.จังหวัดนครปฐม
5.จังหวัดนครสวรรค์
6.จังหวัดนนทบุรี
7.จังหวัดปทุมธานี
8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9.จังหวัดพิจิตร
10.จังหวัดพิษณุโลก
11.จังหวัดเพชรบูรณ์
12.จังหวัดลพบุรี
13.จังหวัดสมุทรปราการ
14.จังหวัดสมุทรสงคราม
15.จังหวัดสมุทรสาคร
16.จังหวัดสิงห์บุรี
17.จังหวัดสุโขทัย
18.จังหวัดสุพรรณบุรี
19.จังหวัดสระบุรี
20.จังหวัดอ่างทอง
21.จังหวัดอุทัยธานี
............................................................................................................
4. ภาคตะวันออก / 7 จังหวัด
1.จังหวัดจันทบุรี
2.จังหวัดฉะเชิงเทรา
3.จังหวัดชลบุรี
4.จังหวัดตราด
5.จังหวัดปราจีนบุรี
6.จังหวัดระยอง
7.จังหวัดสระแก้ว
............................................................................................................
5. ภาคตะวันตก / 5 จังหวัด
1.จังหวัดกาญจนบุรี
2.จังหวัดตาก
3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
4.จังหวัดเพชรบุรี
5.จังหวัดราชบุรี
............................................................................................................
6. ภาคใต้ / 14 จังหวัด
1.จังหวัดกระบี่
2.จังหวัดชุมพร
3.จังหวัดตรัง
4.จังหวัดนครศรีธรรมราช
5.จังหวัดนราธิวาส
6.จังหวัดปัตตานี
7.จังหวัดพังงา
8.จังหวัดพัทลุง
9.จังหวัดภูเก็ต
10.จังหวัดระนอง
11.จังหวัดสตูล
12.จังหวัดสงขลา
13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี
14.จังหวัดยะลา
สิ่งที่หาได้ยากในโลก ๕ ประการ
สิ่งที่หาได้ยากในโลก ๕ ประการ
พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้
มีด้วยกัน ๕ ประการ คือ
๑. การอุบัติบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
ฉะนั้น การที่เราได้เกิดมาในยุคปัจจุบัน
จึงนับเป็นเรื่องน่ายินดี
เพราะยังทันคำสอนของพระพุทธเจ้า
อีกทั้งยังมีโอกาสที่บุคคล จะปฏิบัติตาม
เพื่อให้รู้ธรรม เห็นธรรม และดับทุกข์ได้
เพียงแค่นี้ก็เรียกว่าได้ถึงพระพุทธเจ้า
ดังพุทธภาษิตที่ว่า
โยธมฺมํ ปสฺสติ โสมํ ปสฺสติ
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า
โดยพุทธภาวะ กล่าวคือ
ภาวะแห่งผู้บริสุทธิ์ แห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ประการที่ ๒ การอุบัติบังเกิดขึ้นเป็นมนุษย์
ทุลฺลโภ มนุสฺสตฺต ปฏิลาโภ
การเกิดขึ้นเป็นมนุษย์
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
การที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น
จึงต้องมีศีล ๕ เป็นพื้นฐาน
เรียกว่า มีกุศลกรรมบถ
มนุษย์ถือเป็นภพภูมิสัตว์ที่ดี
ตรงที่สามารถจะพิจารณาธรรมได้
เห็นธรรมได้
การจะสั่งสมบารมี
ก็ต้องมาสั่งสมกันในภพมนุษย์นี่แหละ
ประการที่ ๓ การจะถึงพร้อมด้วยศรัทธา
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
ทุลฺลภา สทฺธาสมฺปตฺติ
ศรัทธาก็คือ ความเชื่อ
เชื่อในเรื่องกรรม
เรื่องผลของกรรม
เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน
เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ถ้ามีความเชื่อเช่นที่กล่าวมา
เรียกว่า เรามีศรัทธา มีกัมมสัทธา
คือเชื่อเรื่องกรรม เชื่อเรื่องการกระทำ
วิปากสัทธา เชื่อเรื่องผลของกรรม
ซึ่งถ้าดวงจิตเกิดศรัทธาขึ้น
คุณงามความดีต่างๆ ก็จะตามมา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ทุลฺลภา ปพฺพชฺชา
ประการที่ ๔ การได้บวชเป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
คนเราใช่ว่าจะมีโอกาสบวชกันได้ง่ายๆ
ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนาดำรงอยู่
ไม่มีพระสงฆ์สืบทอด ก็บวชใม่ได้
เพราะไม่มีใครจะมาเป็นอุปัชฌาย์
ไม่มีพระคู่สวด
และเป็นการทำที่ยาก
เพราะต้องสละเพศฆราวาส
สละออกจากทุกสิ่งทุกอย่าง
มาประพฤติพรหมจรรย์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ทุลฺลภํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
ประการที่ ๕ การได้มีโอกาสฟังพระสัทธรรม
เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากในโลก
เราอาจจะไม่ค่อยรู้สึกอะไรในสมัยนี้
เพราะเป็นยุคที่ยังมีศาสนาอยู่
เลยมีโอกาสได้ฟังธรรม
แต่ถ้าไม่มีพุทธศาสนาหรือศาสนาหมดไป
ก็จะไม่ได้ยิน ได้ฟังกันอีก
หรือบางครั้งธรรมะที่ได้ฟัง
อาจไม่ใช่พระสัทธรรม
คือฟังแล้วไม่เป็นไป
เพื่อการลด ละ สละกิเลส
สิ่งใดที่ฟังแล้วเป็นการเพิ่มกิเลส
มีแต่โลภ โกรธ หลง มากขึ้น
ถึงจะออกมาจากปากของภิกษุ
ก็ถือว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ธรรม
ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
คำสอนของพระพุทธองค์
ต้องเป็นไปเพื่อ ลดละ สละกิเลส
จึงจะถูกต้อง
....................................
ธัมโมวาท โดยพระวิปัสสนาจารย์
ท่านเจ้าคุณ พระภาวนาเขมคุณ
(หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี)
เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ พระนครศรีอยุธยา
.......................................
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................
วัดมหาธาตุ
ที่มาเสียมเรียบ
#ไกด์รักษ์ไทย
#LifeIsJourney
#เสียมเรียบ
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้คนไทยได้เห็นความมหัศจรรย์ของปราสาทหินแบบขอม ซึ่งใช้หินล้วนๆเป็นวัสดุก่อสร้าง
พระราชดำริที่จะให้คนกรุงเทพฯได้ดู #ปราสาทขอม โปรดเกล้าฯให้พระสามภพพ่ายไปลอกแบบปราสาทนครวัดมา วัดส่วนกว้างส่วนยาวส่วนสูงอย่างละเอียด ซึ่งใช้เวลาเกือบ ๔ เดือน พระสามภพพ่ายได้วัดส่วนต่างๆของ #ปราสาทนครวัด มาทุกซอกทุกมุม รวมทั้งลวดลายต่างๆ อย่างจดไว้ตอนหนึ่งว่า
“...มียอดปรางค์ในระหว่างกลาง ๗ ศอก สูง ๑๕ วา มีประตูและบันไดขึ้นไปจากพื้นทั้ง ๔ ปราสาท มีประตูออกจากปราสาทเข้าไปปราสาทใหญ่ หลังคาพระระเบียงเอาศิลายาว ๒ ศอก หน้าใหญ่ ๑ ศอกเศษ หน้าน้อยกำมา ๑ ทับเหลื่อมกันขึ้นไปประจบเป็นอกไก่ พื้นหลังคาสลักเป็นลูกฟูก เอาศิลาแผ่นยาวๆทับหลังเหมือนอย่างทับหลังคา ไม่มีสิ่งไรรับข้างล่างก็อยู่ได้ทั้ง ๓ ชั้น ด้วยเป็นของหนัก ถัดพระระเบียงเข้าไปเป็นลานกว้าง ๑๐ วาถึงองค์ปรางค์ เขมรเรียกว่าปราสาท ฐานกว้าง ๑๑ วา สูง ๑๙ วา ๒ ศอก มีในร่วมข้างในที่หว่างมุม ๔ ด้าน กว้าง ๗ ศอกคืบ ตรงกลางนั้นก่อตัน หน้ากระดานสลักเป็นลายเขมร กลีบขนุน สลักเป็นครุฑ เป็นเทวดา ตั้งพระพุทธรูปไว้ในหว่างมุขทั้ง ๔ มุข มุขละองค์...”
จึงโปรดฯให้ช่างกระทำจำลองตามแบบที่ถ่ายเข้ามานั้น ขึ้นไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามจนทุกวันนี้
คำว่า "#เสียมเรียบ" ในภาษาเขมรมีหมายความว่า "#สยามราบ" คือ "สยาม (แพ้) ราบเรียบ ส่วน "#เสียมราฐ" ในภาษาไทยนั้น หมายถึง "ดินแดนของสยาม"
เสียมราบ มาจากสงครามที่เกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราช (เจ้าพญาจันทราชา) ซึ่งเป็นการศึกระหว่างกัมพูชากับสยามในปี พ.ศ. 2089 ซึ่งปรากฏในพงศาวดารเขมร จ.ศ. 1217 ความว่า
"...พระองค์ทรงราชย์ ลุศักราช ๑๔๖๒ (จ.ศ. ๙๐๒) ศกชวดนักษัตรได้ ๒๕ ปี พระชันษาได้ ๕๕ ปี พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา จึ่งยกทัพมาถึงพระนครหลวง ในปีชวดนั้น พระองค์ยกทัพไปถึงพระนครหลวงรบชนะพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาหนีไป พระเจ้าจันทร์ราชาจับได้เชลยไทยเป็นอันมากแล้วเสด็จกลับเข้ามาครองราชสมบัติ..."
จึงสันนิษฐานว่าสงครามครั้งนี้น่าจะเป็นที่มาของชื่อ "เสียมราบ" เนื่องจากเป็นการรบครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายที่รบใกล้เมืองพระนคร เพราะหลังจากนี้เส้นทางการเดินทัพและสมรภูมิจะเปลี่ยนไปเป็นเส้นทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบ คือ แถบเมืองพระตะบอง, โพธิสัตว์, บริบูรณ์ และละแวก เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามการสงครามครั้งนี้ไม่มีการกล่าวถึงในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาแต่อย่างใด
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................
วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563
วัดพระราม
นครธม
สีมาวัดเบญจมบพิตร
วังหน้า
วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563
คาถาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
พระเจ้าตากสินคุยกับหลวงพ่อฤาษีลิงดํา
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิ
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓
โดยพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
"..เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๐ อาตมาป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ เวลาประมาณ ๔ ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฏว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย
ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยู่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็น ไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฏ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ ๑ ก็เลยถามท่านว่า "ท่านเป็นใคร" ท่านผู้นั้นก็ถามว่า "เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร" ก็ตอบท่านว่า "นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช"
ท่านก็บอกว่า "ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช" ก็เลยมองไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านถามว่า "มองอะไร" ก็บอกว่า "มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินมหาราช" ท่านถามว่า "เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช" ตอบว่า "ยังไม่เชื่อ ที่มองนี่เพราะยังไม่เชื่อ" ท่านถามว่า "ไม่เชื่อตรงไหน" ก็บอกว่า "ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้" ท่านถามว่า "กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน ๔ ทุ่มกว่าแล้วนะ" ก็บอกว่า "จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฏก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์" ท่านบอกว่า "ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้" พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า "เชื่อหรือยัง" ตอบว่า "ตอนนี้เชื่อแล้ว"
ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ ๔ ทุ่มเศษๆ ถึงตี ๕ ครึ่ง คุยกันเรื่องในอดีต ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั่งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ ๑ เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ ๑ ประหารชีวิต เมื่อรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าากสินมหาราชท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่ง ออกทางปากท่อตอนกลางคืนไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนจะสวรรคตเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุกกว่านั้น ออกจากถํ้าท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่งแต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วยก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัดแต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า "เคร่งครัด" คือ "ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทา"
ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า "ขอหวยสัก ๒ ตัวได้ไหม" ท่านบอกว่า "สมัยผมมีแต่หวยจับยี่กี หวยแบบเลขท้าย ๓ ตัว ๒ ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ ๒๕ สตางค์ ผมขอถวายหมด" พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข ๒๕ ใสแจ๋ว พอตอนเช้าบรรดาพยาบาลและนายทหารประจำตึกมาถามว่า "เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ" ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่เงินเหรียญ ๒๕ สตางค์ แล้วท่านก็โยนไปใต้เตียง ปรากฏว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลขท้าย ๒ ตัว ถูกกันมาก
ต่อมาวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำ
ดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก ๖ ทุ่ม เวลาจะนอนก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า "มาทำไม" ท่านบอกว่า "ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย" ถามว่า "ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง" ท่านก็บอกว่า "ประโยชน์มี"
หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า "เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง" ท่านบอกว่า "ยังไม่ได้ลา" จึงถามว่า "ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ" ท่านบอกว่า "เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด" ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม" ท่านบอกว่า "ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน"
เมื่อไปถึงกราบท่านแล้วก็ถามว่า "เวลานี้เทวดาสินเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอารย์ไปแล้ว" พระท่านก็บอกว่า "จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังพระศรีอารย์นิพพานแล้ว" ก็เล่นเอาเทวดาสินต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระท่านว่า "ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน" ท่านบอกว่า "เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ" ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า "เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นวิสุทธิเทพ
นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า "ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร" ก็บอกว่า "ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร" คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ..."
เครดิต ; FB/BuddhaSattha
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................