“พระคันธารราฐ” วัดหน้าพระเมรุราชิการาม หรือวัดหน้าพระเมรุ จ.พระนครศรีอยุธยา
พุทธลักษณะ เป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะแบบทวารวดี ปางประทานปฐมเทศนา มีขนาดหน้าตักกว้าง ๑.๗๐ เมตร สูง ๕.๒๐ เมตร สร้างขึ้นจากวัสดุหินปูนสีเขียวแก่หรือศิลาเขียว (Bluish Limestone) พระหัตถ์ทั้งสองข้างวางคว่ำอยู่บนพระชานุ (เข่า) เบื้องพระปฤษฎางค์ (เบื้องหลัง) มีพนัก และเหนือขึ้นไปหลังพระเศียรมีประภามณฑลหรือรัศมี สลักลายที่ขอบ ปัจจุบันประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ในพระวิหารสรรเพชญ์ หรือพระวิหารคันธารราฐ หรือพระวิหารเขียน หรือพระวิหารน้อย
พระวิหารสรรเพชญ์ ประชาชนเรียกชื่อว่า “พระวิหารคันธารราฐ” หรือเรียกชื่อว่า “พระวิหารเขียน” เนื่องจากมีลายเขียนภายในพระวิหาร หรือมีชื่อเรียกกัน อีกว่า “พระวิหารน้อย” เนื่องจากเป็นพระวิหารขนาดเล็ก มีขนาดกว้างประมาณ ๖ เมตร ยาวประมาณ ๑๖ เมตรเท่านั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระอุโบสถ ห่างจากพระอุโบสถประมาณ ๒ เมตรเศษ หันหน้าออกไปทางทิศใต้หรือไปทางแม่น้ำลพบุรี
พระยาไชยวิชิต (เผือก) ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๑ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระวิหารมีมุขทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ ปิดทองประดับกระจกเช่นเดียวกับพระอุโบสถ หน้าบันสลักลายดอกไม้และนก มีประตูเข้าสู่ภายในพระวิหารเฉพาะด้านหน้าประตูเดียว เป็นประตูไม้แกะ สลักลายก้านขดเคล้าภาพเป็นภาพเทพนม ครุฑ นาค และนก ตอนล่างแกะลายฐานสิงห์ ตอนบนเป็นวิมานและลายเปลว (ฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย อาจเป็นสมัยพระเจ้าปราสาททอง) ซุ้มประตูเป็นลายปูนปั้นปิดทอง ตรงกลางทำเป็นรูปอาคารแบบยุโรป ล้อมด้วยลายดอกไม้มีลายเครือเถาอยู่ที่กรอบ เป็นลายแบบฝรั่งปนจีนฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๔ ผนังด้านข้างของพระวิหารมีหน้าต่างด้านละ ๑ บาน ผนังด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังเขียนภาพเล่าเรื่องชาดกโดยรอบ ปัจจุบันภาพเขียนจิตรกรรมยังคงอยู่แม้จะลบเลือนไปมากตามกาลเวลา
พระคันธารราฐ สันนิษฐานว่าเคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดมหาธาตุ ในเกาะเมือง ข้างวัดราชบูรณะ จ.พระนครศรีอยุธยา มาก่อน ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่มีมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา และเป็นวัดร้างในยุคนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พระยาไชยวิชิต (เผือก) เป็นแม่กองบูรณปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ จึงได้ขุดพบ “พระคันธารราฐ” พระพุทธรูปศิลาเขียวองค์นี้ แล้วได้มีการเคลื่อนย้ายอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารน้อย ที่พึ่งสร้างขึ้นใหม่นี้ ณ วัดหน้าพระเมรุราชิการาม จวบจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ พระยาไชยวิชิต (เผือก) ได้จารึกไว้ในศิลาติดตั้งไว้ที่ฝาผนังเมื่อปี พ.ศ. ที่สร้างว่า “พระคันธารราฐ” นี้ พระอุบาลีมหาเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา นำมาจากประเทศลังกา ในคราวที่ท่านเป็นสมณฑูตพร้อมด้วยพระสงฆ์สยามวงศ์นำพระพุทธศาสนาไป
ประดิษฐานในประเทศลังกา
แต่ทว่านักโบราณคดีมีความเห็นว่า “พระคันธารราฐ” เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.๑๐๐๐-๑๒๐๐ และสันนิษฐานว่าก่อนที่จะนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดมหาธาตุ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมเคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดทุ่งพระเมรุ หรือวัดพระเมรุ จ.นครปฐม เนื่องจากทางราชการขุดพบเรือนแก้วที่ชำรุด สันนิษฐานว่าเป็นเรือนแก้วของพระพุทธรูปองค์นี้ ดังนั้น ความเก่าแก่ของ “พระคันธารราฐ” จึงเก่าแก่กว่าในสมัยกรุงสุโขทัย ไล่เลี่ยกับยุคสมัยของบุโรพุทโธ (borobodur) บนเกาะชวาในประเทศอินโดนีเซีย
พระคันธารราฐ กล่าวกันว่าเดิมเป็นพระพุทธรูปศิลาเขียว แต่เนื่องจากผ่านกาลเวลามานานจึงทำให้กลายเป็นสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันดูคล้ายเป็นสีดำ แต่ถ้ามองดูในระยะใกล้ๆ แล้วจะเห็นเม็ดเล็กๆ สีเขียวเพราะทำจากหินทรายแกะสลัก เชื่อกันว่าหากบูชาสักการะแล้วจะอายุยืนมั่นคงดั่งศิลา
เครดิต;
บทความ : website baanjompra.com
ภาพ :#ภาพเก่าอยุธยา #ภาพเก่า2472
Mind GaLLerY
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_