ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
อาทิตตปริยายสูตร
เอวมฺเม สุตํ
อันข้าพเจ้า(คือพระอานนทเถระ)ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
เอกํ สมยํ ภควา
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
คยายํ วิหรติ คยาสีเส
เสด็จประทับอยู่ที่คยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยา
สทฺธึ ภิกฺขุสหสฺเสน
พร้อมด้วยพระภิกษุพันหนึ่ง
ตตฺร โข ภควา
ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ภิกฺขู อามนฺเตสิ
ตรัสเตือนพระภิกษุทั้งหลาย (ให้ตั้งใจสดับพุทธภาษิตนี้) ว่า
สพฺพํ ภิกฺขเว อาทิตฺตํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน
กิญฺจ ภิกฺขเว สพฺพํ อาทิตฺตํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าชื่อว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน
จกฺขุง ภิกฺขเว อาทิตฺตํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ(คือนัยน์ตา)เป็นของร้อน
รูปา อาทิตฺตา
รูปทั้งหลาย เป็นของร้อน
จกฺขุวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ
จักขุวิญญาณ(วิญญาณอาศัยจักษุ) คือความรู้อารมณ์ทางตา เป็นของร้อน
จกฺขุสมฺผสฺโส อาทิตฺโต
จักขุสัมผัส(สัมผัสอาศัยจักษุ) คือสัมผัสทางตา เป็นของร้อน
ยมฺปิทํ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุสัมผัส คือสัมผัสทางตา เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตมฺปิ อาทิตฺตํ
แม้อันนั้น ก็เป็นของร้อน
เกน อาทิตฺตํ
ร้อนเพราะอะไร
อาทิตฺตํ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา
ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ
อาทิตฺตํ ชาติยา
ร้อนเพราะความเกิด
ชรามรเณน
เพราะความแก่และความตาย
โสเกหิ ปริเทเวหิ
เพราะความโศก และความร่ำไรรำพัน
ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ
เพราะความทุกข์ เพราะความเสียใจ
อุปายาเสหิ
เพราะความคับแค้นใจ
อาทิตฺตนฺติ วทามิ ฯ
เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน
โสตํ อาทิตฺตํ
โสตะ (คือหู) เป็นของร้อน
สทฺทา อาทิตฺตา
เสียงทั้งหลาย เป็นของร้อน
โสตวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ
โสตวิญญาณ(วิญญาณอาศัยโสตะ) คือความรู้อารมณ์ทางหู เป็นของร้อน
โสตสมฺผสฺโส อาทิตฺโต
โสตสัมผัส(สัมผัสอาศัยโสตะ) คือสัมผัสทางหู เป็นของร้อน
ยมฺปิทํ โสตสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยโสตสัมผัส คือสัมผัสทางหู เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตมฺปิ อาทิตฺตํ
แม้อันนั้น ก็เป็นของร้อน
เกน อาทิตฺตํ
ร้อนเพราะอะไร
อาทิตฺตํ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา
ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ
อาทิตฺตํ ชาติยา
ร้อนเพราะความเกิด
ชรามรเณน
เพราะความแก่และความตาย
โสเกหิ ปริเทเวหิ
เพราะความโศก และความร่ำไรรำพัน
ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ
เพราะความทุกข์ เพราะความเสียใจ
อุปายาเสหิ
เพราะความคับแค้นใจ
อาทิตฺตนฺติ วทามิ ฯ
เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน
ฆานํ อาทิตฺตํ
ฆานะ (คือจมูก) เป็นของร้อน
คนฺธา อาทิตฺตา
กลิ่นทั้งหลาย เป็นของร้อน
ฆานวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ
ฆานวิญญาณ(วิญญาณอาศัยฆานะ) คือความรู้อารมณ์ทางจมูก เป็นของร้อน
ฆานสมฺผสฺโส อาทิตฺโต
ฆานสัมผัส(สัมผัสอาศัยฆานะ) คือสัมผัสทางจมูก เป็นของร้อน
ยมฺปิทํ ฆานสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยฆานสัมผัส คือสัมผัสทางจมูก เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตมฺปิ อาทิตฺตํ
แม้อันนั้น ก็เป็นของร้อน
เกน อาทิตฺตํ
ร้อนเพราะอะไร
อาทิตฺตํ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา
ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ
อาทิตฺตํ ชาติยา
ร้อนเพราะความเกิด
ชรามรเณน
เพราะความแก่และความตาย
โสเกหิ ปริเทเวหิ
เพราะความโศก และความร่ำไรรำพัน
ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ
เพราะความทุกข์ เพราะความเสียใจ
อุปายาเสหิ
เพราะความคับแค้นใจ
อาทิตฺตนฺติ วทามิ ฯ
เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน
ชิวฺหา อาทิตฺตา
ชิวหา (คือลิ้น) เป็นของร้อน
รสา อาทิตฺตา
รสทั้งหลาย เป็นของร้อน
ชิวฺหาวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ
ชิวหาวิญญาณ(วิญญาณอาศัยชิวหา) คือความรู้อารมณ์ทางลิ้น เป็นของร้อน
ชิวฺหาสมฺผสฺโส อาทิตฺโต
ชิวหาสัมผัส(สัมผัสอาศัยชิวหา) คือสัมผัสทางลิ้น เป็นของร้อน
ยมฺปิทํ ชิวฺหาสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยชิวหาสัมผัส คือสัมผัสทางลิ้น เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตมฺปิ อาทิตฺตํ
แม้อันนั้น ก็เป็นของร้อน
เกน อาทิตฺตํ
ร้อนเพราะอะไร
อาทิตฺตํ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา
ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ
อาทิตฺตํ ชาติยา
ร้อนเพราะความเกิด
ชรามรเณน
เพราะความแก่และความตาย
โสเกหิ ปริเทเวหิ
เพราะความโศก และความร่ำไรรำพัน
ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ
เพราะความทุกข์ เพราะความเสียใจ
อุปายาเสหิ
เพราะความคับแค้นใจ
อาทิตฺตนฺติ วทามิ ฯ
เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน
กาโย อาทิตฺโต
กาย เป็นของร้อน
โผฏฺฐพฺพา อาทิตฺตา
โผฏฐัพพะ(คือสิ่งที่ถูกต้องทางกาย) เป็นของร้อน
กายวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ
กายวิญญาณ(วิญญาณอาศัยกาย) คือความรู้อารมณ์ทางกาย เป็นของร้อน
กายสมฺผสฺโส อาทิตฺโต
กายสัมผัส(สัมผัสอาศัยกาย) คือสัมผัสทางกาย เป็นของร้อน
ยมฺปิทํ กายสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายสัมผัส คือสัมผัสทางกาย เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตมฺปิ อาทิตฺตํ
แม้อันนั้น ก็เป็นของร้อน
เกน อาทิตฺตํ
ร้อนเพราะอะไร
อาทิตฺตํ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา
ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ
อาทิตฺตํ ชาติยา
ร้อนเพราะความเกิด
ชรามรเณน
เพราะความแก่และความตาย
โสเกหิ ปริเทเวหิ
เพราะความโศก และความร่ำไรรำพัน
ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ
เพราะความทุกข์ เพราะความเสียใจ
อุปายาเสหิ
เพราะความคับแค้นใจ
อาทิตฺตนฺติ วทามิ ฯ
เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน
มโน อาทิตฺโต
มนะ (คือใจ) เป็นของร้อน
ธมฺมา อาทิตฺตา
ธรรมารมณ์ทั้งหลาย(คืออารมณ์ที่เกิดแก่ใจ) เป็นของร้อน
มโนวิญฺญาณํ อาทิตฺตํ
มโนวิญญาณ(วิญญาณอาศัยมนะ) คือความรู้อารมณ์ทางใจ เป็นของร้อน
มโนสมฺผสฺโส อาทิตฺโต
มโนสัมผัส(สัมผัสอาศัยมนะ) คือสัมผัสทางใจ เป็นของร้อน
ยมฺปิทํ มโนสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยมโนสัมผัส คือสัมผัสทางใจ เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตมฺปิ อาทิตฺตํ
แม้อันนั้น ก็เป็นของร้อน
เกน อาทิตฺตํ
ร้อนเพราะอะไร
อาทิตฺตํ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา
ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ
อาทิตฺตํ ชาติยา
ร้อนเพราะความเกิด
ชรามรเณน
เพราะความแก่และความตาย
โสเกหิ ปริเทเวหิ
เพราะความโศก และความร่ำไรรำพัน
ทุกฺเขหิ โทมนสฺเสหิ
เพราะความทุกข์ เพราะความเสียใจ
อุปายาเสหิ
เพราะความคับแค้นใจ
อาทิตฺตนฺติ วทามิ
เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน
เอวํ ปสฺสํ ภิกขเว สุตวา อริยสาวโก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับมาแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
จักฺขุสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในจักษุ
รูเปสุปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในรูปทั้งหลาย
จกฺขุวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยจักษุ
จกฺขุสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในสัมผัสอาศัยจักษุ
ยมฺปิทํ จกฺขุสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุสัมผัส คือสัมผัสทางตา เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในความรู้สึกนั้น
โสตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในโสตะ
สทฺเทสุปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในเสียงทั้งหลาย
โสตวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยโสตะ
โสตสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในสัมผัสอาศัยโสตะ
ยมฺปิทํ โสตสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์ นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยโสตสัมผัส คือสัมผัสทางหู เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะโสตสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในความรู้สึกนั้น
ฆานสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในฆานะ
คนฺเธสุปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในกลิ่นทั้งหลาย
ฆานวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยฆานะ
ฆานสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในสัมผัสอาศัยฆานะ
ยมฺปิทํ ฆานสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยฆานะสัมผัส คือสัมผัสทางจมูก เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะฆานะสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในความรู้สึกนั้น
ชิวฺหายปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในชิวหา
รเสสุปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในรสทั้งหลาย
ชิวฺหาวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยชิวหา
ชิวฺหาสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในสัมผัสอาศัยชิวหา
ยมฺปิทํ ชิวฺหาสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยชิวหาสัมผัส คือสัมผัสทางลิ้น เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในความรู้สึกนั้น
กายสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในกาย
โผฏฺฐพฺเพสุปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในโผฏฐัพพะทั้งหลาย
กายวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยกาย
กายสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในสัมผัสอาศัยกาย
ยมฺปิทํ กายสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยกายสัมผัส คือสัมผัสทางกาย เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในความรู้สึกนั้น
มนสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในมนะ
ธมฺเมสุปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในธรรมทั้งหลาย
มโนวิญฺญาเณปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยมนะ
มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในสัมผัสอาศัยมนะ
ยมฺปิทํ มโนสมฺผสฺสปจฺจยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ
เวทนาคือความรู้สึกเสวยอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยมโนสัมผัส คือสัมผัสทางใจ เป็นปัจจัย แม้อันใด (ความเสวยอารมณ์เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย)
สุขํ วา ทุกฺขํ วา
เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี
อทุกฺขมสุขํ วา
ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก์ดี
ตสฺมึปิ นิพฺพินฺทติ
ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในความรู้สึกนั้น
นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความติด
วิราคา วิมุจฺจติ
เพราะคลายความติด จิตก็พ้น
วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ
เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็เกิดญาณรู้ว่าพ้นแล้ว ดั่งนี้
ขีณา ชาติ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาตีติ
อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำเราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
อิทมโวจ ภควา
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสธรรมปริยายอันนี้แล้ว
อตฺตมนา เต ภิกฺขู
พระภิกษุเหล่านั้น ก็มีใจยินดี
ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุง
เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจัา
อิมสฺมิญจ ปน เวยฺยากรณสฺมึ ภญฺญมาเน
ก็แลเมื่อเวยยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่
ตสฺส ภิกฺขุสหสฺสสฺส อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ
จิตของพระภิกษุพันรูปนั้น ก็พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทานแล
จบ อาทิตตปริยายสูตร
ททมาโน ปิโย โหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always beloved. _/|\_