“พระพุทธรูปปางปฐมเทศนางดงามที่สุดในโลก” พิพิธภัณฑ์แห่งสังฆารามสารนาถ
“พิพิธภัณฑ์แห่งสารนาถ” (Sarnath Museum) เมืองพาราณสี เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดเก็บโบราณวัตถุที่ขุดพบจาก “สังฆารามแห่งสารนาถ” (Sarnath Monastery) ที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่เคยป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (Isipatana Migadava) สถานที่บำเพ็ญพรตของเหล่ามุนีฤๅษี เขตแคว้นกาสี ในสมัยพุทธกาล ทางทิศเหนือของเมืองพาราณสี (Varanasi) รัฐอุตตรประเทศ
ชื่อนามของสารนาถมาจากคำว่า “สารงฺค+นารถ – สารังคนาถ” หมายถึงที่อยู่ของฝูงกวาง ซึ่งในวรรณกรรมทางพุทธศาสนา สังฆารามสารนาถนี้ ถือเป็น “สังเวชนียสถานแห่งการปฐมเทศนา” เป็นสถานที่พระพุทธองค์ได้เสด็จมาพบกับ “ปัญญวัคคีย์ทั้ง 5” (Pañcavaggiya) ประกอบด้วย “โกณฑัญญะ” (Kondanna) “วัปปะ” (Vappa) “ภัททิยะ” (Bhaddiya) “มหานามะ” (Mahanama) และ “อัสสชิ” (Assaji) และได้ทรงแสดง “เทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” (Dhammacakkappavattana Sutta) จนโกณฑัญญะได้บรรลุธรรม ขอบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในโลก
สังฆารามสารนาถจะถูกทำลายอย่างย่อยยับในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 โดยแม่ทัพอิสลามเตอร์ก นามว่า “กุดบัดดิน ไอบัค (Qutb al-Din Aibak –kutbuddin Aybeg) ได้นำกองทัพกว่า 120,000 คน ของ สุลต่านแห่งราชวงศ์คูริด (Ghurid Dynasty) ที่มีพระนามว่า “โมฮัมหมัด โฆรี-ฆอร์” (Mu'izz ad-Din Muhammad Ghori) เข้ายึดครองและทำลายบ้านเมืองในอินเดียเหนือไปจรดแค้วนพิหาร ได้เผาทำลายวัดวาอารามในพุทธศาสนาและเทวาลัยพราหมณ์ฮินดู เข่นฆ่าผู้คนและพระภิกษุสามเณรล้มตายหลายหมื่นรูป
ในปี พ.ศ. 2377 จึงได้เริ่มมีการขุดค้นซากปรักหักพังของสังฆารามสารนาถที่ถูกทิ้งร้างเป็นป่ารกชัฏโดย “เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม” (Sir Alexander Cunningham) ซึ่งก็ได้มีการรื้ออิฐและแผ่นหินสลักจำนวนมากไปสร้างอาคารในยุคอาณานิคม เขื่อนใหญ่กั้นตลิ่งริมแม่น้ำกว่า 40 จุด เขื่อนและสะพานข้ามแม่น้ำวรุณา (Varuna) และสถานีรถไฟที่พาราณสี ทั้งยังขนย้ายรูปประติมากรรมที่ยังมีสภาพสวยงามไปตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จนในที่สุด ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ (Anagarika Dhammapala) ผู้ศรัทธาพุทธศาสนาชาวลังกาได้ใช้ความพยายาม ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาและนำสังฆารามสารนาถ (รวมทั้งสังเวชนียสถานอีกหลายแห่ง) ที่ได้กลายเป็นป่ารกและสถานที่เลี้ยงสัตว์ของเศรษฐีชาวฮินดูภายหลังการขุดค้นของอังกฤษ กลับคืนมาได้สำเร็จในช่วงปี พ.ศ. 2444
ในปี พ.ศ. 2447 เซอร์จอห์นมาร์แชล (Sir John Marshall) ผู้อำนวยการใหญ่ด้านโบราณวิทยาในอินเดีย ได้เริ่มโครงการจัดสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ ในพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานที่ขุดค้น เพื่อจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นสำคัญเปิดใช้งานครั้งแรกในปี พ.ศ. 2453
ห้องด้านหน้าห้องแรกของอาคารจัดแสดง เป็นห้องโถงไฮไลท์สำคัญ แสดงรูปประติมากรรม “เสาอโศก” (Ashoka's Pillar) ชิ้นที่มีความงามและสมบูรณ์ที่สุด เป็นเสาสิงห์ (Lions Capital) แบบจตุรทิศ (หันหน้าไป 4 ทิศ) ในความหมายของการประกาศพระสุรเสียงแห่งธรรมจักรกัปปวัตนสูตรของพระพุทธองค์
“ราชสีห์”(lion) เป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของ “ศากยะวงศ์” วงศ์วานแห่งพระพุทธองค์ (หรือแสดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิอโศกเองด้วย) และยังอาจความหมายถึงอำนาจแห่ง “พระจักรพรรดิแห่งโลกและธรรม” (พระเจ้าอโศก- พระพุทธเจ้า) ที่ดำรงอยู่ทุกหนแห่ง หรือในความเชื่อทางพุทธศาสนาได้อธิบายว่า เสาสลักรูปสิงห์ทั้ง 4 คือสัญลักษณ์ของคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่องอาจดุจพญาราชสีห์ และแผ่ไปไกลดุจเสียง “สีหนาท”แห่งราชสีห์
เหนือบัวหัวเสา ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ของ “สระอนวตัปตา- อโนดาต” (Anavatapta) สระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงสุดบนสรวงสวรรค์ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ เป็นต้นกำเนิดแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 4 สายใหญ่แห่งโลกอันได้แก่ คงคา ยมุนา พรหมบุตร และสินธุ ที่ปากน้ำแต่ละสายนั้นจะเป็นที่ตั้งของดินแดนสรรพสัตว์ ทั้งสี่ทิศ คือ ดินแดนแห่งราชสีห์ ดินแดนคชสาร ดินแดนม้า และดินแดนแห่งแดนโคอุสภะ สลับรูปของวงล้อมธรรมจักรแบบมีกงซี่ถี่ ในความหมายของการเคลื่อนไปข้างหน้า (ล้อหมุน) ที่มีพลวัต (พลัง)
รูปเสาอโศก จึงแทนความหมายของอำนาจแห่งศากยวงศ์ที่อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางแห่งจักรวาลนั่นเอง
ด้านใน อาคารทางปีกซ้ายเป็นห้องจัดแสดงประติมากรรมพุทธศิลป์ในพระพุทธศาสนา ที่พบจากสังฆารามสารนาถแห่งนี้ ซึ่งไฮไลท์สำคัญก็คงเป็นรูปประติมากรรมพระพุทธเจ้าปางแสดงปฐมเทศนา และห้องเครื่องทองที่จัดแสดงอยู่ในห้องด้านหลัง
รูปประติมากรรม “พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา” แห่งสังฆารามสารนาถนี้ ขุดพบที่บริเวณหน้า "พระมูลคันธกุฏี” หรือ “พระมูลคันธกุฏีวิหาร” (Mulgandha kuti – vihar) ใกล้กับเสาอโศก นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องว่าเป็นพุทธศิลป์ที่มีความงดงามที่สุดของอินเดีย
และก็คงเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดของโลก ไปด้วยโดยปริยาย
พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปนั่งปางสมาธิ แบบขัดสมาธิเพชร “วัชระ-สาสนะ” (เห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง) ปางแสดงปฐมเทศนา แสดงท่ามือ “ธรรมจักรมุทรา” โดยยกพระหัตถ์ขวาขึ้นระดับพระอุระ แสดงวิตรรกะมุทรา พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้น ชี้ไปยังวงนิ้วโอเคของพระหัตถ์ขวา อันหมายถึงการแสดง (สั่งสอน-เทศนา)ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ในศิลปะแบบราชวงศ์คุปตะ ตระกูลช่างสารนาถ อายุการสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 10
ด้านข้างและด้านบนหลังพระพุทธรูป สลักเป็นแผ่นหลังประภาวลี (Altarpiece) โดยด้านข้างนั้นสลักเป็นรูปสัตว์เทพผู้ปกป้อง ที่เรียกว่า “ยาลิ” (Yāḻi) แบบตัว “สิงหวยาล” (Simha-Vyala สิงห์มีเขา) และรูป “มกร” ( Makara-มะกะระ สัตว์ผสมแห่งคงคา) ด้านบนเป็นประภามณฑลรูปกลม มีรูปวิทยาธรทั้งสองฝั่งวางตัวแบบสมมาตร
ลักษณะของการสร้างรูปประติมากรรมลอยตัวแบบมีแผ่นหลังนี้ เป็นการทำรูปประติมากรรมเพื่อใช้วางพิง แนบหรือฝังเข้าไปในช่อง-ผนังกำแพง
ด้านล่างเป็นฐานที่มีช่องท้องไม้แสดงพุทธประวัติตอนปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน โดยมีรูปธรรมจักรแบบวางหันข้าง (เห็นเป็นสัน) แบ่งตรงกลางภาพ มีรูปกวางอันเป็นสัญลักษณ์ของป่ามฤคทายวัน รูปปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 โดยมีรูปสตรีและเด็ก ที่อาจหมายถึงผู้อุปถัมภ์ – ผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา อยู่ทางด้านซ้ายสุดของภาพ
ความงดงามในพุทธศิลป์แบบคุปตะที่สำคัญบนรูปพระพุทธรูปองค์นี้ คือลวดลายก้านเถาและใบขดที่อยู่ในประภามณฑลรูปกลมหลังพระเศียร เป็นลายพรรณพฤกษาที่มีก้านต่อช่อ-ต่อก้าน พลิ้วเป็นวงโค้งขึ้นลงไปตามแนวกลม ด้านข้างของเส้นก้านนำ จะแตกเป็น กนกใบม้วนสลับกับดอกไม้บาน มีลักษณะแบบแผนเดียวกับแผ่นหินสลักลวดลายประดับสถูป “ธรรมเมกขสถูป” (Dhamekh Stupa) พระเจดีย์ใหญ่ ประธานแห่งสังฆารามสารนาถ อันเป็นลวดลายสำคัญของยุคสมัยศิลปะคุปตะ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10
ลวดลายเถาของพระสถูปนั้นจะเน้นไปที่ลายดอกบัว ในขณะลวดลายที่แผ่นหลังพระพุทธรูปเน้นไปที่ลายดอกไม้บานแบบดอกทานตะวัน แต่ทั้งสองก็ยังคงลักษณ์ของใบไม้ประกอบเป็นก้านต่อช่อก่านต่อก้านใหม่เลื้อยออกไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีใบม้วนขดผลิใบและผลิดอกออกด้านข้างแบบเดียวกัน ในความหมายของความอุดมสมบูรณ์ ขนาบข้างด้วยลายลูกปัดอัญมณี โดยขอบนอกสุดเป็นรูปแฉกโค้งแหลมในความหมายของประภารัศมี
*** ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า พระพุทธรูปและพระสถูปนั้น ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคสมัยเดียวกันครับ
เครดิต ; FB
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564
พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา
ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_