คติและงานศิลปะ “สาวงามส่องกระจก–ฉันนี่สวยจัง” จากโลกโบราณ
รูปประติมากรรมสตรีประดับอาคารศาสนสถาน ถือกล่องกระจกหรือคันฉ่อง (Mirror) แสดงท่าทางกำลังดูความสวยงามบนใบหน้าของตนเอง เรียกในภาษาสันสกฤตว่า “ทารปนา ธาริณี” “Darpana Dharini” หมายถึง “สตรีงาม (กำลังส่อง) ถือกระจก” ที่ในยุคเริ่มแรกของอินเดียนั้น ได้รับอิทธิพลโดยตรงจาก “วัฒนธรรมเฮเลนิสติค”(Hellenistic) จากเทวี-เทพธิดา (Goddess) แห่งความอุดมสมบูรณ์ของชาว กรีก และอินโด-กรีก (Indo-Greek) ในแคว้นเบคเตรียและคันธาระมาตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 ซึ่งในเริ่มแรกของงานศิลปะได้พัฒนามาเป็น “นางยักษิณี – ยักษี” (Yakshinis – Yakshis) เทวีแห่งธรรมชาติ (นางไม้) ความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรือง ยืนแบบ ตริภังค์” (Tribhaṅga) ในท่าโหนโน้มกิ่งไม้ต้นสาละที่เรียกว่า “สาละภัญชิกะ” (śālabhañjikā) อย่าง “นางจันทรายักษิณี” (Chandra Yakshi) ยืนเหนือสัตว์ผสมคล้ายอูฐ “พตันมารายักษิณี” ยืนเหนือคนแคระ “จูลโกกายักษิณี” ยืนเหนือช้าง หรือ “สุทรรศนายักษิณี” ยืนเหนือตัวมกร เป็นจุดเริ่มต้นรูปลักษณ์ของ “สาวงาม” ที่มี "... หน้าอกพระจันทร์ เอวหงส์และโหนกช้าง" (Moon Breasted, Swan-Waisted and Elephant-Hipped) เป็นครั้งแรกในงานศิลปะอินเดีย
ถึงแม้ว่าในยุคราชวงศ์โมลียะและศุงคะ ช่วงพุทธศตวรรษที่ 4 – 5 จะมีความนิยมสลักรูปนางยักษิณีโหนต้นสาละ อย่างที่พบจากสถูปสาญจีและสถูปภารหุต รวมทั้งรูปถือแส้จามร (Chanwar Dharini) อย่างที่พบจากเมืองปาฏลิบุตร - ปาลิโบตระ (Patliputra - Palibothra) แต่รูปสาวงาม-ยักษิณี ส่องกระจกที่แสดงความชื่นชมความงามของตนเอง -ฉันนี่สวยจัง ที่เก่าแก่ที่สุด อาจเป็นรูปสลักสตรีคาดเอวด้วยแถบสร้อยเมขลา (Mekhala) บนเสาสตัมภะ-สดมภ์ (Stambha) ของรั้วเวทิกา “สถูปสังโฮล” (Sanghol) ที่สร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนา ในเขตฟาเตหครห์ซาฮิบ (Fatehgarh Sahib) รัฐปัญจาบ ศิลปะสกุลช่างมถุรา (Mathura) ที่ได้รับอิทธิพล จากแคว้นคันธาระ ในช่วงราชวงศ์กุษาณะ ราวพุทธศตวรรษที่ 7 - 8
รูปศิลปะสาวงามส่องกระจก ได้รับความนิยมเรื่อยมา โดยเฉพาะในคติฮินดู ที่ปรากฏเรื่องราวของสตรีงามในชื่อของ “นางอัปสรา” (Apsarā) หรือ “นางนายิกา” (Nayika) จากวรรณกรรมปุราณะหลายเล่ม ที่เป็นงานศิลปะรูปหญิงสาวแสดงอารมณ์แห่งความรักที่บริสุทธิ์ “ศฤงคารรส” (Sringara Rasa) แสดงออกด้วยกิริยาท่าทางต่าง ๆ ทั้ง ความเศร้า ความเหงา ความคิดถึง อวดสวยหาคู่รัก เล่นดนตรีและเต้นรำ ใส่เครื่องประดับ อุ้มเด็กแสดงความเป็นแม่) อีกทั้งยัง “นางโมหิณี” (Mohini) ในคติฝ่ายไวษณพนิกาย หรือรูปศิลปะสาวงามในอารมณ์ “สุรสุนทรี” (Surāsundari) สตรีที่เป็นความงามแห่งสวรรค์ มีเรือนร่างทรวดทรงที่งดงามเกี่ยวข้องกับความยั่วยวนและกระตุ้นกามารมณ์ตามคติตันตระ ในงานศิลปะประดับสถาปัตยกรรมอินเดียหลังพุทธศตวรรษที่ 14 อย่างรูปสลักประดับผนังเทวาลัย “ลักษมันวิศวนาถ” (Lakshmana Temple) ในกลุ่มปราสาทมรดกโลก “ขชุราโห” (Khajurāho Group of Monuments) รัฐมัธยมประเทศ (Madhya Pradesh) ที่สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 - 17 ในช่วงที่ราชวงศ์จันเทลละ (Chandela Dynasty) ปกครองอินเดีย ที่ปรากฏรูปสตรีงามอัปสราในอารมณ์สุรสุนทรี แสดงท่าทางที่แตกต่างกัน ไป 13 แบบ ทั้งถือดอกไม้ ดอกบัว แส้จามร เต้นรำ เล่นกับนกแก้ว อุ้มเด็กแสดงความเป็นมาตริกา (มารดา) รวมทั้งส่องกระจกแต่งความงาม เพื่อแสดงความรักให้กับตนเอง
สาวงามในอารมณ์รักและเพศจากอินเดียโบราณ ที่ถูกเรียกรวมว่านางอัปสรา คติความหมายของเทวาลัย-ปราสาทบนสรงสวรรค์ที่จะมีเหล่านางฟ้า-เทพิดาแสนงาม และงานศิลปะการประดับเทวาลัยด้วยรูปสตรีที่มีอารมณ์รัก ได้ส่งอิทธิพลจากอินเดียมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในวัฒนธรรมเขมรโบราณ โดยจะปรากฏรูปของนางอัปสรา – นายิกา แสดงศฤงคารรสแห่งความรักที่บริสุทธิ์ ด้วยกิริยาสุรสุนทรีต่าง ๆ เช่นเดียวกับงานศิลปะในอินเดีย อย่างภาพสลักอัปสรานูนต่ำที่พบจากปราสาทนครวัด ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 17
-------------------------
คติสาวงามส่องกระจก-ฉันนี่สวยจัง อันเป็นการแสดงความรักสวยรักงามของสตรีสวรรค์ จากอารมณ์แห่งความรัก (ชื่นชมความงามของตนเอง) ในงานศิลปะจากโลกโบราณ ก็ยังคงเป็นที่นิยมของสาวสวยที่มีความรักอยู่ในหัวใจ ที่จะพกพากระจก (หรือใช้โทรศัพท์มือถือแทน) มาจนถึงในทุกวันนี้
เครดิต; FB
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................
วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564
สาวงาม
ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ททมาโน ปิโยโหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_