วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2564

พระพุทธรูปเชิงช่างหริภุญชัย

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.
“พระพุทธรูปดินเผาเชิงช่างหริภุญชัย” ความงามที่ไม่มีใครเหมือน

พุทธศาสนาของ “นครหริภุญชัย” รุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพระเจ้าอาทิตยราช (พระเจ้าทิตตะ) จนถึงสมัยพระเจ้าสววาธิสิทธิ (สรรพสิทธิ์) ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 17 – ต้นพุทธศตวรรษที่ 18 ใช้ภาษารามัญ/มอญเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร ใช้อักษรมอญโบราณ บันทึกเป็นภาษามอญและบาลีเป็นหลัก 
จนถึงราวต้นพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรหริภุญชัยที่ปกครองโดยพญาญี่บา ได้พ่ายแพ้ต่อพญามังราย สิ้นสุดยุคสมัยของอาณาจักรรามัญตะวันออกครับ
.
ในช่วงเวลานี้ ได้มีความนิยมในการสร้าง “พระพุทธรูปดินเผา” (Terracotta Buddha Statue) ในงานศิลปะที่มีรูปแบบเฉพาะตัวขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดจะมีรูปพระพักตร์ค่อนข้างยาว พระหนุโค้งกลมเล็ก พระนลาฏใหญ่ พระขนงเป็นสันนูนต่อกันเป็นปีกนก บางองค์มีพระอุณาโลมเหนือพระพระขนง พระเนตรใหญ่โปน เปลือกพระเนตรมีทั้งแบบเหลือบต่ำ ไปจนถึงเบิกกว้างจนเห็นพระกาฬเนตรชัดเจน พระนาสิกบาน พระโอษฐ์ยาว บางองค์มีพระมัสสุ (หนวด)เหนือพระโอษฐ์ มีเส้นขอบไรพระศกนูน เส้นพระเกศาขมวดเป็นวงก้นหอย แต่นูนแหลมทรงกระบอกแบบหนามทุเรียน นุ่งห่มคลุม บางองค์มีผ้าชายสังฆาฏิยาวตรงลงมายาวถึงพระอุทร ปลายผ้าตัดเรียบ นั่งในท่า ขัดสมาธิเพชร ขัดไขว้ข้อพระบาท หงายพระบาทออกให้เห็นทั้งสองแบบการปฏิบัติโยคะที่เรียกว่า “วัชราสนะ”(Vajrāsana) พระหัตถ์ขวาวางบนพระเพลา แสดง“ภูมิสปรรศมุทรา” (Bhūmiśparṣa Mudrā) หรือปางมารวิชัย 
.
พระพุทธรูปดินเผาศิลปะหริภุญชัยองค์หนึ่ง ได้รับมอบมาจากสมาคมเผยแพร่และส่งเสริมศิลปวัตถุเมื่อปี พ.ศ. 2531 เคยจัดเก็บไว้ที่คลังกลางพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถูกนำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการ "อารยธรรมวิวัฒน์ : ลพบุรี - ศรีรามเทพนคร" ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ได้แสดงความสมบูรณ์และความงดงามของพระพุทธรูปดินเผาในสกุลช่างหริภุญชัยที่หาดูได้ยาก พระหนุโค้งกลมเล็ก พระนลาฏใหญ่ มีพระอุณาโลมเหนือกึงกลางพระขนงที่ปั้นเป็นสันนูน พระเนตรเบิกกว้าง พระนาสิกบาน (แตกหัก) พระกรรณใหญ่โค้ง พระอุษณีษะ (หม่อมกะโหลก) หักออกไป แผ่นหลังตัดเรียบไม่เต็มองค์ เหมือนจะใช้นำมาประดับอาคารเจติยสถาน โดยมีร่องใหญ่ที่ด้านหลังเพื่อยึดประกบกับผนังครับ   
.
ที่ส่วนฐานเชียงด้านหน้ามีจารึกเป็นอักษรมอญโบราณ ภาษามอญ/บาลี อายุอักษร/ภาษาในช่วงกลาง-ปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ได้มีการแปลความไว้ว่า “...นี้คือในกาลที่พ่อราชินีสร้างพระปางตรัสรู้ กับชนชาวบ้าน/ นี้คือพระปางตรัสรู้ ในวาระที่พ่อ (ของ) ราชินี (?) ร่วมกันสร้างกับชาวบ้าน...” 
.
ประติมาณของพระพุทธรูปดินเผาองค์นี้ แสดงความเป็น “พระศากยมุนีพุทธเจ้า” (Shakyamuni) ในพุทธประวัติตอนผจญมาร (Assault of Māra) ประทับในท่าขัดสมาธิเพชรแบบโยคะและแสดงมุทราตามคติและศิลปะฝ่ายมหายาน (Mahāyāna Buddhism) จากอิทธิพลราชวงศ์ปาละผ่านมาทางพุกามตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 แต่เริ่มรับอิทธิพลการพาดผ้าสังฆาฏิแบบเถรวาทจากฝ่ายรามัญนิกายเข้ามาผสมผสาน ส่วนพระพักตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ รวมกับเม็ดพระเกศาแหลมแบบหนามทุเรียน เป็นงานฝีมือของกลุ่มช่างพื้นถิ่นรามัญ/หริภุญชัยที่นิยมกันเฉพาะในช่วงเวลานั้นครับ    
.
*** พระพุทธรูปในคติมหายานแบบหริภุญชัย เป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงว่าในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 17 นั้น ราชสำนักผู้ปกครองหริภุญชัยเดิมยังคงนิยมศิลปะฝ่ายมหายานตามแบบราชวงศ์ปาละและอาณาจักรพุกาม ซึ่งต่อมาเมื่อกลุ่มรามัญอีกกลุ่มหนึ่งจากทางใต้ได้เข้ามาครอบครองหริภุญชัย จึงเกิดการผสมคติรามัญนิกาย/เถรวาทเมืองพัน เข้ากับมหายาน/หริภุญชัย จนเกิดเป็นนิกายใหม่ ส่งอิทธิพลลงมายังละโว้ตามเส้นทางการค้า ผสมผสานอีกครั้งกับคติวัชรยานในยุคจักรวรรดิบายน จนเกิดเป็นนิกายลูกผสม “คณะกัมโพชสงฆ์ปักขะ”(Kambojsanghapakkha) ขึ้นที่ละโว้เป็นครั้งแรก 
.
*** คติและลูกผสมงานศิลปะของคณะกัมโพชสงฆ์ปักขะที่เกิดขึ้นในละโว้ ได้ส่งความนิยมย้อนกลับขึ้นไปยังหริภุญชัย และอาณาจักรมอญตะวันตกในช่วงกลางถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ครับ  
เครดิต : FB
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น