กรรมบท ๑๐
กรรมบท 10
กรรม 10 อย่าง ที่ละเอียดกว่า ศีล โดยแบ่งเป็น กายกรรม 3 วจีกรรม 4 มโนกรรม 3 ทั้งกาย วาจา ใจ นั่นเอง ศีล 5 นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะรอดจากนรกชัวร์ ๆ แต่กรรมบถ 10 นี้ต่างหากที่จะรอดจากนรก ชัวร์ ๆ 1. กรรมจากการฆ่าสัตว์ (ปาณาติบาตร) 2. กรรมจากการลักทรัพย์ (อทินนาทานา) 3. กรรมจากการประพฤติผิดในกาม (กาเม) 4. การพูดโกหก (มุสา) 5. การพูดส่อเสียด (ทำให้คนแตกความสามัคคี ทำให้คนเกลียดกัน ทำให้คนโกรธกัน) 6. การพูดเพ้อเจ้อ (พูดในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้) 7. การพูดคำหยาบ (พูดคำด่าคำ) 8. ความโลภ (อยากได้ของผู้อื่นจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน อยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้) 9. ความโกรธ 10. ความหลง (มีความเห็นผิด มิจฉาทิฐฐิ) ตย. ความโกรธ ความไม่พอใจ หรือ ความพยาบาท และความโกรธนี่แหละ ที่จำให้เราลงนรก ทันทีในขณะที่เราโกรธและเสียชีวิตลง ในสมัยพุทธกาล มนุษย์นั้น มีอายุ 20,000 ปี ซึ่งเป็นสมัยของ พระพุทธเจ้า กัสสปะ มีภิกษุรูปหนึ่ง บวชมาได้ประมาณ 20,000 พรรษาได้แล้วมาถึงช่วงท้ายของชีวิต คือวัยชรานั่นเอง ก็เริ่มเจ็บป่วย เนื่องจากโรคชราเข้าแทรกนั่นเอง ในช่วงที่อาพาธ ก็จะมีพระภันเต ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงคอยดูแลให้ยามที่ต้องเจ็บป่วย ในระหว่างที่เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้นั้น พระผู้ป่วยอาพาธ ก็รู้สึกเจ็บปวดไปหมดเพราะธาตุไฟใกล้แตก ก็รู้สึกโกรธ “ท่านนี่เช็ดเบาๆหน่อยได้ไหม เจ็บปวดจะตายอยู่แล้ว “ จากนั้นก็ด่าต่างๆ นาๆ คือเกิดความโกรธขึ้น และขณะนั้นก็ขาดใจตายลงทันที ในขณะที่ขาดใจตาย ดวงจิตร ก็ดิ่งลงนรกอเวจีทันที เมื่อไปอยู่ในนรกนานขนาด 1 พุทธันดร (นานคือประมาณเปลี่ยนพระพุทธเจ้า 1 พระองค์) จากที่มนุษย์ มีอายุ 20,000 ปี จนมนุษย์อายุ 100 ปี นับอย่างไร คือทุกๆ 100 ปีมนุษย์จะมีอายุลดลง 1 ปี นี่คือความนานในเปลี่ยนพระพุทธเจ้า 1 พระองค์ หลังจากที่ไปใช้กรรมในนรกอเวจี 1 พุทธันดร แล้ว ก็ได้มาเกิด แต่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นเศษกรรมที่ติดมา ได้มาเกิดเป็นปลา ในระหว่างที่ว่ายอยู่นั้นก็มีชาวประมงไปทอดแหได้ เมื่อชาวประมงจับปลานั้นมาได้ก็ได้นำมาพิจารณาเห็นว่าเป็นปลาประหลาด คือมีหัวโต ตาปูด หางสั้น จึงรู้สึกขำ “เฮ้ยปลาอะไรวะตลกจัง “ จึงได้เรียกเพื่อนๆ มาดู ทุกๆคนเห็นก็หัวเราะขำกันมาก ปลาเมื่อเห็นทุกคนหัวเราะเยาะตนเอง จึงเกิดอาการโกรธ จนกระทั่งตายอีกครั้ง หลังจากโกรธตายก็กลับไปยังนรกอเวจีอีกครั้ง จะเห็นได้ว่า อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่พระเองยังไม่รอด สาเหตุที่ต้องลงในนรกอีกก็คือ ในขณะที่โกรธตายนั้น เป็นอาสัณกรรมคือกรรมที่ทำ ก่อนตาย ดังนั้นเราต้องฝึกไม่ให้โกรธ ในขณะที่เรายังมีสติและทำอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะถ้าเราไปฝึกในขณะที่เราใกล้ตายอาจจะเผลอลืม ไปแล้วละก็จะปรับตัวไม่ทัน จะทำให้เราต้องพลาดลงนรกชนิดแก้ตัวไม่ได้อีกเลย 10 มิจฉาทิฐฐิ (มีความเห็นผิด) พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ไม่มีบาปไหนเลยที่จะร้ายแรงกว่า มิจฉาทิฐฐิไม่มี (มีความเห็นผิด) ไปจากกฎธรรมชาติ ซึ่งตรงกันข้ามกับ สัมมาทิฐฐิ (มีความเห็นถูกต้อง) ตามกฎธรรมชาติ และ จักรวาล ตย. การกินเจ เพราะมีหลายคนที่มีความเห็นผิด จากเรื่องสำคัญนี้ ดังนั้นถ้าเราเป็นพุทธแท้ เราต้องมีความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบทบัญญัติ ในพระไตรปิฎกฉบับหลวงประเทศไทย การกินเจนั้น ได้บุญหรือได้บาปหรือไม่ ถ้าเป็นสัมมาทิฐฐิ คือ การกินผัก กินเพื่อสุขภาพ กินแล้วรู้สึกถ่ายคล่อง ลำไส้สะอาด ฯลฯ ไม่ได้บุญ และ บาปนี่คือกฎของธรรมชาติแต่ ถ้าเป็นมิจฉาทิฐฐิ คือคิดว่า เป็นการไม่เบียดเบียนสัตว์ จะทำให้ได้บุญเพราะช่วยให้คนฆ่าสัตว์น้อยลง เป็นผู้ช่วยต่อชีวิตสัตว์ให้ยาวนานขึ้น เป็นบุญกุศลเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ มิหนำซ้ำทำคนเดียวยังไม่พอ ยังไปสั่งสอนคนอื่นให้ทำตามอีกด้วย โดยใช้ความคิดและความรู้สึกของตนเองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ถ้ามีผู้เชื่อปฏิบัติตาม ผู้นั้นถือเป็นมิจฉาทิฐฐิ แต่ถ้าผู้นั้นบอกว่าถ้าเขากินเจและเขาคิดว่าได้บุญ แล้วจะทำไม อันนี้ผู้เขียนก็ขอบอกว่าก็เป็นเรื่องของเขาเพราะถูกใจเขา เราคงเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ แต่มันไม่ถูกต้องตรงตามพระไตรปิฏกตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าผู้นั้นคิดว่าเขาก็ศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันกับเรา ก็ต้องบอกว่า คนละองค์กันครับ เพราะพระพุทธเจ้าเรานั้นสอนไว้ชัดเจนว่าการกินเจ ที่คิดว่ากินแล้วได้บุญ คิดว่าเป็นการทำทานอันยิ่งใหญ่ เป็นมิจฉาทิฐฐิ (มีความเห็นผิด) ไปจากกฎธรรมชาติ ถ้าคิดแบบนี้เป็นบาปทันที แต่ถ้าไม่คิดว่าเป็นบุญ เป็นการกินเพื่อสุขภาพ แบบนี้ถือเป็นเรื่องปรกติเป็นการกินผักเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสบอกกับภิกษุไว้ว่า การจะไม่กินเนื้อมีอยู่ 3 สาเหตุ 1. เห็นเนื้อนั้น (เห็นมันก่อนที่มันจะถูกฆ่ามาทำเป็นอาหารให้เรา) 2. ได้ยินเสียงเนื้อนั้น ( ได้ยินเสียงมันก่อนที่จะฆ่ามาให้เรากิน) 3. รังเกียจเนื้อนั้น (เป็นเนื้อสัตว์ที่เรารังเกียจ เช่นเนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อจระเข้ เป็นต้น ถ้าคนไทยทั้งประเทศไม่กินเนื้อสัตว์ ก็ยังคงมีคนฆ่าสัตว์เหมือนเดิม เพราะ เป็นกรรมของสัตว์นั้นที่ต้องถูกฆ่า ส่วนคนที่ได้กินเนื้อสัตว์นั้นก็คือคนมีบุญ เพราะเขาทำบุญด้วยเนื้อสัตว์นั้นมา ถ้าไม่ได้ทำมาไม่ได้กินแน่นอน ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ คือ คนบาปคือคนฆ่า ส่วนคนกินคือคนมีบุญ เพราะการฆ่าสัตว์ 1 ตัวต้องไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้น 500 ชาติ ดังนั้นทุกท่านไม่ต้องกลัว อาหารจะหมดจากโลกนี้หรอก เพราะถ้าเราทำบุญมาดี เราจะไม่มีวันอดอาหารตายแน่นอน |
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_
ททมาโน ปิโย โหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always beloved. _/|\_