ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
เรื่อง ต้นเหตุพระเทวทัตจองเวรพระพุทธเจ้า
(เสริววาทนิชชาดก)
“อันธะตะมัง ตะฑา โหติ ยัง โลโภ สะหะเต นะรัง
เมื่อความโลภเข้าครอบงำคน เวลานั้นก็มีแต่ความมืดตื้อ”
คือในอดีตนับถอยหลังจากกัปนี้ลงไป มีพ่อค้าเร่ขายเครื่องประดับอยู่ ๒ คน คนหนึ่งเจ้าเล่ห์ คนหนึ่งซื่อสัตย์ ทั้งคู่อยู่ในเมืองเสรีวะ อยู่มาคราวหนึ่งทั้ง ๒ ได้เดินทางข้ามแม่น้ำนีลวะหะ เข้าไปยังเมืองอริฏฐบุรี ไปถึงตำบลหนึ่งพร้อมกัน พ่อค้าคนซื่อสัตย์เข้าทางตะวันออก ส่วนพ่อค้าเจ้าเล่ห์เข้าทางตะวันตก ฝ่ายพ่อค้าเจ้าเล่ห์ที่เข้าทางตะวันตกได้ไปถึงบ้านเศรษฐีตกยาก (ล้มละลาย) คนหนึ่งก่อน ซึ่งในบ้านนี้มีเหลือยู่แค่ยายกับหลานสาวเท่านั้น ภายในบ้านยังมีถาดทองคำอยู่ถาดหนึ่ง ซึ่งนำไปเก็บปะปนกันกับเศษภาชนะที่ไม่ใช้แล้ว
เมื่อหลานสาวเห็นพ่อค้าเร่ขายเครื่องประดับก็อยากได้เครื่องประดับจึงบอกกับยายว่า “ยายจ๋า เรามีถาดเก่าอยู่ใบหนึ่ง พอจะเอามาแลกเครื่องประดับกับพ่อค้าได้ไหม ?” ยายจึงบอกหลานสาวให้เชิญพ่อค้าเข้ามาในบ้าน แล้วบอกกับพ่อค้าว่า “นายจ๋า เรามีถาดเก่าอยู่ใบหนึ่ง พอจะแลกเครื่องประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ไหม ?” จึงนำถาดเก่าสนิมจับเกรอะกะใบหนึ่งมออกมาแลก ฝ่ายพ่อค้าเจ้าเล่ห์ด้วยความที่เป็นพ่อค้าเร่มานานได้เห็นและจับดูก็สงสัยเนื่องจากน้ำหนักผิดปกติที่ควรจะเป็น จึงได้เอาเข็มกรีดดู ก็รู้ว่าเป็นทองคำ
เมื่อรู้ว่าเป็นทองคำแน่แล้ว ได้ชั่งน้ำหนักดู เห็นว่าถาดใบนี้มีมูลค่าตั้ง ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ก็ดีใจมากคิดอยากได้เปล่า จึงแกล้งบอกว่า “ถาดของพวกเจ้านี้ไม่มีราคาเท่าไหร่เลย ราคามูลค่าไม่ถึงสลึง จะมาแลกเอาอะไรกับของ (เครื่องประดับ) ๆ ข้าได้” แล้วก็โยนถาดลงกับพื้นเสมือนของไม่มีราคา แล้วออกเดินเร่ขายเครื่องประดับต่อไป ด้วยคิดจะย้อนกลับมาเอาเปล่าหรือเอาอย่างราคาถูกที่สุดในภายหลังก่อนกลับ (ด้วยคิดจะทำให้ยายและหลานสาวตายใจก่อน)
แต่พอไปสักครู่ใหญ่พ่อค้าเร่ขายเครื่องประดับคนที่ซื่อสัตย์ที่เข้าทางตะวันออกก็มาถึงที่บ้านเศรษฐีตกยากหลังนี้ เมื่อหลานสาวเห็นก็อยากได้เครื่องประดับอีกจึงบอกกับยายว่า “ยาย มีพ่อค้ามาอีกคนแล้ว เราลองเอาถาดเราไปแลกดูอีกครั้งจะดีไหม ?” ยายบอกกับหลานว่า “ขนาดเมื่อกี้เขายังโยนถาดของเราทิ้ง แถมยังตีราคาให้ไม่ถึงสลึงเลย พ่อค้าคนนี้เขาจะรับของเราหรือ” หลานได้บอกกับยายว่า “แต่พ่อค้าคนนี้ดูท่าทางใจดี ไม่เหมือนพ่อค้าคนก่อนซึ่งพูดหยาบไม่น่านับถือ เดี๋ยวหนูไปเชิญเขาเข้ามาในบ้านนะยาย” เมื่อพ่อค้าเร่ได้เข้ามาในบ้าน ยายก็นำถาดเก่าสนิมจับเกรอะกะใบนั้น (ถาดทองคำ) มาขอแลก
และเนื่องด้วยที่เป็นพ่อค้าเร่มานานเช่นกัน เมื่อพ่อค้าก็หยิบถาดทองคำขึ้นดู ก็รู้สึกว่าหนักผิดปกติก็เอาเข็มกรีดดู พอรู้ว่าเป็นทองคำแน่แล้ว แล้วชั่งน้ำหนักดู ก็บอกตามความเป็นจริงกับยายและหลานสาวว่า “ยาย จ๋า ถาดนี้เป็นทองคำนะยาย เราตีราคาถาดทองคำนี้เท่ากับ ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ” ยายตกใจและค่อย ๆ พูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “พ่อค้าเร่ขายเครื่องประดับคนก่อนตีราคาถาดนี้ไม่ถึงสลึงเลย และเราไม่อยากเชื่อเลยว่าเราจะมีถาดทองคำที่มีมูลค่าทรัพย์ถึง ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ อยู่ในมือ ถ้าอย่างนั้นก็เห็นจะเป็นบุญของหลาน เราจะให้ถาดนี้แก่หลานชาย ขอให้หลานชายให้เครื่องประดับแก่หลานสาวของยายสักเล็กน้อยก็แล้วกัน”
พ่อค้าเร่ผู้ซื่อสัตย์นั้นจึงบอกว่า “วันนี้จากการขายเครื่องประดับและเงินทั้งหมดของเราก็มีเพียงประมาณ ๕๐๐ กหาปณะเท่านั้น หลานจักยกให้หมด แล้วจักแถมของ (เครื่องประดับ) ให้อีก” ว่าแล้วก็ยกเครื่องประดับที่เหลือทั้งหมดมีมูลค่ารวมประมาณ ๕๐๐ กหาปณะ กับเงิน ๕๐๐ กหาปณะให้ เหลือเงินไว้เดินทางกลับถึงบ้านเพียงแค่ ๘ กหาปณะ แล้วพ่อค้าเร่ที่ซื่อสัตย์ก็เอาถาดทองคำใบนั้นไป หมายจะขึ้นเรือเดินทางกลับเมืองเสรีวะ
ห่างไปไม่นานอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายพ่อค้าเจ้าเล่ห์ที่เข้าเมืองทางด้านตะวันตก ก่อนกลับก็ย้อนกลับมาที่บ้านเศรษฐีตกยากนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยหวังว่าจะมาเอาถาดทองคำให้ได้ ยายได้บอกกับพ่อค้าเจ้าเล่ห์ว่า “ถาดเก่าของยายมีมูลค่าถึง ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ แต่เจ้ากลับตีราคาให้ไม่ถึงสลึง พอดีมีพ่อค้ายุติธรรมผ่านมา ข้าเลยมอบให้เขาไปแล้ว โน้นเขาขึ้นเรือกลับไปแล้ว” เมื่อพ่อค้าเจ้าเล่ห์รู้เรื่องก็เสียใจล้มลงทั้งยืน เมื่อตั้งสติได้พ่อค้าเจ้าเล่ห์ก็ทิ้งข้าวของที่ติดตัวมากระจัดกระจายระเนระนาด คว้าไม้คันชั่งหมายทำเป็นค้อนออกวิ่งไล่ตาม เมื่อไปถึงริมตลิ่ง แล้วตะโกนเรียกให้เรือกลับมารับตน
พ่อค้าซื่อสัตย์ซึ่งกำลังนั่งเรือข้ามน้ำจวนจะถึงฝั่งโน้นแล้ว สังเกตเห็นพ่อค้าเจ้าเล่ห์มีอาการโกรธ ฉุนเฉียว ไร้สติ จึงสั่งให้คนพายเรือแจวต่อไปไม่ต้องกลับเรือไปรับ เมื่อฝ่ายพ่อค้าเจ้าเล่ห์เห็นเรือไม่กลับมารับตน ได้แต่มองเรือกำลังลับตาไปทุกขณะ ก็เกิดความพยาบาทอาฆาตแค้นเป็นอย่างมาก ก็กล่าวคำจอเวรขึ้นว่า “ขอให้เราได้ทำร้ายท่านในชาติต่อ ๆ ไปให้จงได้” ว่าแล้วก็ถึงกับหัวใจล้มเหลว โลหิตพุ่งออกจากปากถึงแก่ความตาย มาชาติสุดท้ายพ่อค้าเจ้าเล่ห์ที่เข้าเมืองด้านตะวันตกนั้นได้มาเกิดเป็นพระเทวทัต ส่วนพ่อค้าอีกคนที่ซื่อสัตย์ที่เข้าเมืองด้านตะวันออกได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า จบเรื่องนี้ใน เสริววาทนิชชาดก เอกนิบาท เท่านี้.
ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ความคดโกงไม่ดีเลย”
“โลภนักมักฉิบหาย โลภนักมักตัวตาย”
“ความโลภอยากได้ของเขา ทำให้เกิดความโกรธ”
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น