วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

นางจิญจมาณวิกาถูกธรณีสูบ

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

นางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบ

เรื่องนางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบ เพราะกรรมหนัก กล่าวหาว่ามีครรภ์กับพระศาสดา

นางจิญจมาณวิกา เป็นอีกผู้หนึ่งที่เสวยผลของกรรมหนัก ทั้งสองมิติ คือด้วยการถูกธรณีสูบ อันเป็นผลของกฎแห่งกรรมในมิติ ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม(ผลทันตาเห็น) และไปตกนรกตาม กฎแห่งกรรม ในมิติ อปราปริยเวทนียกรรม(เสวยผลในภพต่อมา)

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคราวที่พระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภนางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนาที่ขึ้นต้นด้วยบาทพระคาถานี้ว่า เอกธมฺมมตีตสฺส เป็นต้น


เรื่องในอรรถกาพระธรรมบท พระพุทธโฆษาจารย์เล่าไว้ว่า ในปฐมโพธิกาล พระศาสดาทรงแสดงธรรมโปรดแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มีพวกเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้บรรลุอริยภูมิในชั้นต่างๆมีโสดาปัตติผลเป็นต้น พระเกียรติคุณของพระศาสดาจึงได้ขจรขจายไปทั่วสารทิศ ลาภและสักการะเป็นอันมากได้บังเกิดแด่พระศาสดา เป็นที่ริษยาของบรรดาเดียรถีร์ทั้งหลาย

คนเหล่านี้จึงได้วางแผนที่จะทำลายเกียรติภูมิชื่อเสียงของพระศาสดา โดยใช้นางงามชื่อจิญจมาณวิกาหนึ่งในศิษย์คนสำคัญของพวกเดียรถีร์เป็นเครื่องมือ พวกเขากล่าวกับนางงามผู้นี้ว่า “น้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาความสุขแก่เราทั้งหลายไซร้ จงยังโทษให้เกิดขึ้นแก่พระสมณโคดมแล้ว ยังลาภสักการะให้ฉิบหายเพราะอาศัยตน” ในเย็นวันนั้นเอง นางงามก็เริ่มทำตามแผน “นารีพิฆาต” โดยนางมีมือถือดอกไม้และของหอมเป็นต้นเดินไปทางวัดพระเชตวัน

เมื่อคนทั้งหลายถามนางว่าจะไปไหน นางก็ตอบว่า “พวกท่านอย่ารู้เลย” จากนั้นนางก็ไปยังที่พำนักของพวกเดียรถีร์ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับวัดพระเชตวัน และนางก็จะเดินกลับออกมาในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นโดยทำทีประหนึ่งว่านางเข้าไปนอนค้างแรมในวัดพระเชตวัน

เมื่อมีคนถามในช่วง 1-2 เดือนแรก นางก็จะบอกว่า “ข้าพเจ้าไปค้างแรมกับพระสมณโคดม ในพระคันธกุฎี ในวัดพระเชตะวัน” หลังจากเวลาผ่านไป 3-4 เดือน นางก็นำผ้ามาผูกไว้ที่ท้องทำทีว่านางเริ่มตั้งครรภ์ และสร้างข่าวลือว่านางตั้งครรภ์กับพระศาสดา
เมื่อเวลาผ่านไป 8-9 เดือน นางก็นำไม้กลมๆมาผูกที่ท้องห่มผ้าทับไว้บ้างบน ให้ทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโค ให้มีอาการบวมตามร่างกาย เหมือนหญิงครรภ์แก่ใกล้คลอด

จนถึงวันหนึ่ง ในขณะที่พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ นางงามก็ไปสู่ธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์ของพระศาสดา กล่าว่า “ มหาสมณะ พระองค์ดีแต่แสดงธรรมแก่มหาชน เสียงของพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อมฉัน อาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระองค์ไม่ยอมจัดการหาสถานที่คลอดของหม่อมฉัน ไม่ทรงจัดหาอุปกรณ์เครื่องบริหารครรภ์มีเนยใสและน้ำมันเป็นต้น เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็น่าตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง จัดการให้ พระองค์ทรงรู้แต่จะอภิรมย์เท่านั้น ไม่ทรงรู้ในการจัดการบริหารครรภ์”

พระศาสดาทรงหยุดแสดงธรรมชั่วขณะ และตรัสว่า “ น้องหญิง ความที่คำอันเจ้ากล่าวแล้ว จะจริงหรือไม่ เราและเจ้าเท่านั้น ย่อมรู้” นางงามตอบว่า “ ถูกต้อง มหาสมณะ คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร พระองค์และหม่อมฉันเท่านั้นที่รู้” ทันใดนั้นเอง เท้าสักกะเทวราช ทรงทราบเหตุร้ายเกิดขึ้นที่วัดพระเชตวัน จึงได้เสด็จจากสวรรค์มาที่นั่น แล้วมีเทวบัญชาให้เทพบุตรจำแลงกายเป็นหนูปีนขึ้นไปกัดเชือกที่ผูกท่อนไม้กลมที่ท้องของนางงาม เมื่อเชือกผูกถูกกัดขาด ท่อนไม้กลมนั้นก็หลุดหล่นลงมาทับที่ปลายเท้าของนางงาม

เมื่อความลับของนางงามถูกเปิดเผย ชาวบ้านก็ได้ร้องตะโกนสาปแช่ง “นางกาลกัณณี เจ้าใส่ร้ายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” บ้างถ่มน้ำลายรดศีรษะของนาง บ้างหยิบก้อนดิน บ้างหยิบท่อนไม้ วิ่งขับไล่นางงามออกจากพระเชตวัน

ตามเรื่องในพระคัมภีร์บรรยายในช่วงที่นางงามถูกธรณีสูบและไปเกิดในอเวจีมหานรกว่า “ครั้นในเวลานางล่วงคลองพระเนตรของพระตถาคตไป แผ่นดินใหญ่แตกแยกเป็นช่องแล้ว เปลวไฟตั้งขึ้นจากอเวจี นางจิญจมาณวิกานั้น ไปเกิดในอเวจี เป็นเหมือนห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้”

ในวันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในธรรมสภา ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางจิญจมาณวิกา พระศาสดาได้ทรงสอบถามเรื่องและประเด็นของการสนทนา และตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น ถึงในกาลก่อน นางจิญจมาณวิกา ก็ด่าเราด้วยคำไม่จริง ถึงความพินาศแล้วเหมือนกัน” แล้วตรัสเล่าเรื่องในมหาปทุมชาดก ในทวาทสบิบาต ซึ่งในชาดกดังกล่าวเล่าถึงพฤติกรรมของนางจิญจมาณวิกาเมื่อครั้งเป็นพระมเหสีของพระราชาและเป็นพระมารดาเลี้ยงของมหาปทุมกุมารพระโพธิสัตว์ ใช้อุบายเพื่อให้พระโพธิสัตว์เป็นชู้กับตน เมื่อพระโพธิสัตว์ปฏิเสธก็ได้ทำการกลั่นแกล้ง จนพระโพธิสัตว์ ถูกจับตัวไปทิ้งลงเหว แต่ไม่ได้รับอันตรายเพราะพระยานาคช่วยชีวิตเอาไว้ และภายหลังพระโพธิสัตว์ได้กลับมาครองราชสมบัติ ส่วนนางจิญจมาณวิกา(พระมเหสีของพระราชา) ถูกจับไปโยนลงเหวสิ้นพระชนม์

พระศาสดา เมื่อตรัสเล่ามหาปทุมชาดกจบลงแล้ว ได้ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ละคำสัตย์ซึ่งเป็นธรรมอย่างเอก และไม่สนใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปรโลก ชื่อว่าจักไม่ทำบาปกรรม ย่อมไม่มี”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

เอกธมฺมมตีตสฺส
มุสาวาทิสฺส ชนฺตุโน
วิติณฺณปรโลกสฺส
นตฺถิ ปาปํ อการิยํ ฯ

(อ่านว่า)

เอกะทำมะมะตีตัดสะ
มุสาวาทิดสะ ชันตุโน
วิตินนะปะระโลกัดสะ
นัดถิ ปาปัง อะการิยัง.

(แปลว่า)

บาปอันชนผู้ก้าวล่วงธรรมอย่างเอกเสีย
ผู้มักพูดเท็จ
ผู้มีปรโลกอันล่วงเลยเสียแล้ว
ไม่พึงทำ ย่อมไม่มี.


เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น .

2 ความคิดเห็น:

  1. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always be love. _/|\_

    ตอบลบ
  2. ททมาโน ปิโย โหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always beloved. _/|\_

    ตอบลบ