เศียรพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่เรียกว่า " เศียรธรรมิกราช " เพราะพบที่วัดธรรมิกราชพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา เป็นเศียรพระพุทธรูปสำริดที่มีขนาดใหญ่สุดและมีความสำคัญมากที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย
เศียรพระธรรมิกราช สูงประมาณ ๒.๐๐ เมตร กรอบพระพักตร์สี่เหลี่ยม ( กรามใหญ่ ) พระขนงเชื่อมต่อกันเป็นปีกกาและเป็นสันนูน พระเนตรเปิดกว้างเหลือบลงต่ำเล็กน้อย ไม่แสดงดวงพระเนตร พระนาสิกค่อนข้างใหญ่ พระโอษฐ์แบะกว้าง แนวเส้นพระโอษฐ์เกือบเป็นเส้นตรง ริมพระโอษฐ์หนา พระเศียรมีขมวดพระเกศาเป็นเม็ดเล็กอย่างมากและทรงสูงแบบหนามขนุน มีอุษณีษะไม่สูงมากนัก และที่อุษณีษะแสดงเม็ดพระศกด้วยเช่นกัน ระหว่างพระนลาฏกับพระศกมีขอบที่เรียกว่าไรพระศกปรากฎอยู่ด้วยแต่เป็นแนวเล็กๆ เท่านั้น
นักวิชาการหลายท่านให้ความเห็นว่าเศียรพระธรรมิกราชนี้มีมาก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเชื่อว่ามีอายุอยู่ในราวครึ่งแรกพุทธศตวรรษที่ ๑๘ โดยเชื่อมโยงกับตำนานในพงศาวดารเหนือที่กล่าวถึงพระนามของกษัตริย์คือพระเจ้าธรรมิกราช (พ.ศ. ๑๗๐๘ - ๑๗๔๘ ) พระราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ผู้สร้างวัดมุขราช หรือ วัดธรรมิกราช นอกจากนี้อาจารย์ น. ณ ปากน้ำ ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับเศียรธรรมิกราชไว้ด้วย ซึ่งเรียกเศียรพระดังกล่าวว่า " หลวงพ่อแก่ " เพราะพระพักตร์นั้นดูเคร่งเครียด สูงอายุ แสดงอำนาจและพลังอันเข้มแข็ง เป็นสมัยการนับถือพุทธศาสนาแบบมหายานร่วมสมัยกับอาณาจักรนครหลวงของขอม จัดเป็นแบบอู่ทองทั่วไป ศิลปะช่วงก่อนสมัยอยุธยา
ข้อสังเกตประการสำคัญที่ว่า เศียรพระธรรมิกราช ไม่ใช่ศิลปะแบบเขมรแต่เป็นศิลปะแบบไทยแล้วก็คือ ส่วนของพระเศียรที่ทำเป็นอุษณีษะ และมีขมวดพระเกศาเป็นเม็ดเล็กทรงสูง ลักษณะดังกล่าวไม่มีปรากฎในศิลปะเขมร กล่าวคือ ในศิลปะสมัยนครวัดนิยมทำเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องที่มีเทริดหรือกระบังหน้าและมงกุฎทรงกรวยครอบอยู่ ส่วนในสมัยบายนไม่นิยมเทริดแล้ว แต่บางครั้งมีการทำเป็นมงกุฎซึ่งทำเป้นชั้นๆ ประดับด้วยลายกลีบบัว หรือไม่มีมงกุฎแต่ทำเป็นอุษณีษะทรงเตี้ยๆ พระพุทธรูปในศิลปะเขมรจนถึงสมัยบายนนั้น ไม่พบว่ามีการทำพระรัศมี
อย่างไรก็ดี ศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ ได้นำเสนอแนวคิดที่ต่างออกไป โดยเชื่อว่าเศียรพระธรรมิกราช จัดอยู่ในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นสายที่มีวิวัฒนาการมาจากศิลปะเขมรและศิลปะลพบุรี จัดเป็นศิลปะอู่ทองรุ่นที่ ๒ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ทั้งนี้เทียบเคียงกับรูปแบบที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดและมีหลักฐานการสร้างคือ พระพุทธรูปบุทองที่พบจากกรุวัดมหาธาตุ พระนครศรีอยุธยา อยู่ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมาจนถึงกลุ่มพระพุทธรูปแบบอู่ทอง ๒ ที่พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะที่สร้างในสมัยสมเด็จเจ้าสามพระยา ที่พระพุทธรูปแบบอู่ทอง ๒ เริ่มพบน้อยลง
เครดิต ; FB
ประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564
เศียรธรรมิกราช
ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น