'นฤตตมูรติ' มูรติการร่ายรำแห่งองค์พระศิวะ และการเริงระบำของ 'นางโมหินี' อวตารแห่งองค์พระวิษณุ
และปรากฎรูป เหล่าคนธรรพ์กำลังบรรเลงดนตรีประกอบ ขลุ่ย, กลอง, ฉิ่ง อยู่เคียงข้าง
โดยการเต้นรำของพระศิวะกับพระวิษณุในรูปของนางโมหินีนั้น น่าจะเป็นเป็นเหตุการณ์ในตอนที่มหาเทพทั้งสองพบกัน แล้วแปลงกายมาเป็น โยคีหนุ่มรูปงามและนางโมหินี ในร่างโยคินีสาวสวย
เพื่อมาปราบเหล่าฤาษีที่ตั้งกลุ่มตั้งชมรมกันอยู่ใน 'ป่าตารกะ' หรือในอินเดียใต้จะเรียกว่า 'ป่าถิลไล'(ป่าโกงกาง) ที่นอกเมือง 'จิดัมบราม' แล้วประพฤติปฏิบัติตนออกนอกลู่นอกทาง
และเมื่อเหล่าฤษีได้เห็นความงามของนางโมหินี ก็เกิดความกำหนัด หมายจะสังหารโยคีหนุ่ม เพื่อครอบครองนางโยคินีเมียของเขา
โดยเหล่าฤาษีได้เสกเวทย์มนต์ออกมาเป็นตัวเสือพุ่งเข้ามาทำร้ายใส่ แต่พระศิวะก็สังหารเสือนั้นแล้วฉีกเอาหนังเสือนั้นมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม
แต่แล้วเหล่าฤาษีก็เสกเวทย์มนต์ให้เป็อสรพิษร้าย พระศิวะจึงสังหารงูนั้นแล้วนำมาคล้องที่ร่างกายเป็นสายสังวาลย์นาคราช
ครั้นสุดท้ายเหล่าฤษีก็ได้ปลดปล่อยเจ้าอสูรมูลยกะหมายให้เข้ามาสังหารพระศิวะ
ดั่งในรูปด้านซ้ายของภาพจะเห็นพระศิวะใช้ตรีศูล เสียบแทงเข้าไปในร่างของอสูรมูลยกะที่ถือดาบและโล่กำลังพุ่งเข้ามาใส่จากเบื้องบน
แล้วอสูรนั้นก็สิ้นชีพลงใต้พระบาทของพระศิวะที่ขึ้นไปร่ายรำอยู่บนลำตัวของอสูรนี้ แทนความหมายว่า
"พระองค์ได้กำราบ 'อวิชชา' หรือความไม่รู้ที่ได้แสดงออกมาโดยสัญลักษณ์ในรูปอสูรมูลยกะนี้ ให้หมดสิ้นไปแล้ว"
และหลังจากนั้นพระศิวะในร่างของโยคีหนุ่มนั้น ก็สามารถกำหราบเหล่าฤาษีทุศีลนั้นลงไปได้และทำให้เหล่าฤาษีทั้งหมดกลับมาปฏิบัติตนบำเพ็ญเพียรตามทางที่ควรจะเป็น จนเป็นเรื่องราวแห่ง 'ศิวะนาฏราช' ที่ทราบกันดี
ทางฝ่ายอินเดียใต้นั้น มีตำนานกันต่อไปอีกว่าความงามของนางโมหินีนั้น งามถึงขนาดพระศิวะยังทนไม่ได้ ถึงขนาดที่เคยมีอะไรกัน และได้กำเนิดลูกออกมาเป็น 'พระอัยยัปปัน' เทพองค์สำคัญแห่งรัฐเกรละ
หรือที่บางตำนานก็จะกล่างถึงว่านางโมหินี สวยจนพระศิวะแค่เห็นก็ถึงกับ 'พีชะ' หรืออสุจิเคลื่อน แล้วได้นำไปหยอดในหูนางอัญชนาในรามายณะ หรือนางสวาหะในรามเกียรติ์ จนเป็นต้นกำเนิดแห่ง 'หนุมาน'
แต่ภาพแกะสลักที่เทวาลัยโฮยศาเลศวราแห่งนี้ เท่าที่สังเกตุดู รูปเทพต่างๆจะมีเนื้อหาของเรื่องที่ไม่ต่อเนื่องเป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน
รูปแกะสลักนางโมหินีที่ด้านขวาของภาพ พระหัตถ์ด้านซ้ายกำลังถือหม้อน้ำอมฤตอยู่ ก็อาจจะเป็นเหตุการณ์ภายหลังการกวนเกษียรสมุทร ที่พระวิษณุอวตารร่างมาเป็นนางโมหินี เพื่อใช้ความงามล่อลวงพวกอสูรไป แล้วระหว่างนั้นเองก็ได้แบ่งเทน้ำอมฤตออกมาให้แต่เหล่าเทวดาทั้งหลายได้ดื่มกิน
โดยรูปแกะสลักของพระศิวะ และนางโมหินี ในภาพนี้อาจจะเป็นคนละเหตุการณ์กัน แต่ทั้งสองอยู่ในลักษณะการร่ายรำที่เหมือนกัน ก็เลยก็นำมาแกะสลักไว้ใกล้กันโดยมีเหล่าคนธรรพ์มาบรรเลงดนตรี เพื่อความต่อเนื่องกลมกลืนของภาพแกะสลักก็เป็นได้
เทวาลัยโฮยศาเลศวรา เมืองฮาลิบิดู รัฐกรณาฏกะ
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น