คาถาป้องกันภัยพิบัติ
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในการพุทธาภิเษกช่วงเช้าที่ผ่านมา
กับการเป่ายันต์เกราะเพชรรอบเช้าตอนสิบโมง อาตมาเอง
ก็ยังหนักใจอยู่ว่า พระท่านบอกว่าภัยธรรมชาติที่หนักๆ นั้น
จะเริ่มเข้ามาในประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะปีนี้เรื่องน้ำ
จะมาหนัก ส่วนที่จะโดนมากก็จะเป็นปักษ์ใต้
งานพุทธาภิเษกพระขุนแผนเกราะเพชรและเหรียญพุทธบารมี
งวดนี้ ปกติในการพุทธาภิเษกแต่ละครั้งก็จะมีคาถาเฉพาะ
ที่ท่านให้ภาวนา อาตมาศึกษาคาถาการทำขุนแผนมาจาก
สายหลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ปรากฏว่าพอเริ่มภาวนาท่านบอกว่า
ไม่ต้อง ให้ภาวนาพระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วยนะโมพุทธายะ
อธิษฐานภาพพระครอบตัวเราไว้ทุกวัน หรือว่าครอบบ้านของเรา
เอาไว้ทุกวัน ครอบคนที่เรารักเอาไว้ทุกวัน เพื่อป้องกันอันตราย
ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอันตรายจากภัยธรรมชาติ เช่น
น้ำท่วม เป็นต้น ดังนั้น ใครที่ใช้วัตถุมงคลทางสายวัดท่าซุง
หรือสายวัดท่าขนุนนี้ก็ตาม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้ภาวนา
พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ต่อด้วยนะโมพุทธายะให้เป็นปกติ
เรื่องของกองกรรมฐานต่างๆ เราทำตามปกติของเรา พออารมณ์
ใจทรงตัวแล้วก็มาจับภาวนาคาถาทั้งสองบทนี้ต่อเนื่องกันไป
เพื่อที่จะได้บรรเทากรรมใหญ่ของประเทศชาติและตัวเอง สิ่งที่
โดนหนักก็จะได้เป็นเบา สิ่งที่เบาจะได้เป็นหาย โดยเฉพาะบ้านเรา
เมืองเราซึ่งอยู่ได้ด้วยบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปัจจุบัน
พระองค์ท่านก็ทรงพระประชวร รักษาพระองค์อยู่ในโรงพยาบาล
มาโดยตลอด แล้วพระองค์ท่านก็อายุกาลผ่านวัยถึง ๘๙ พรรษา
แล้ว ซึ่งถ้าหากว่า ว่ากันตามแบบของโบราณหรือพูดกันแบบ
คนทั่วไปก็คือไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร
ปัจจุบันนี้หลายสิ่งหลายอย่างที่ดีอยู่คงอยู่ เป็นไปด้วยบารมี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ถ้าหากว่าสิ้นพระองค์ท่าน
เมื่อไร เขาไม่มีอะไรต้องเกรงใจ สิ่งที่เคยโดนกดเอาไว้อย่างเช่น
ภัยธรรมชาติต่างๆ ก็ดี ภัยสงครามก็ตาม อาจจะประดังหนักมาก
ทีเดียว จึงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก อาตมาเองก็กล่าวเตือนญาติ
โยมได้แค่นี้ ไม่สามารถจะบอกอะไรชัดเจนไปกว่านี้ได้ จึงเป็นเรื่อง
ที่ญาติโยมจะต้องรักษาตัวเอง ด้วยการภาวนารักษากำลังใจของเรา
ให้ดี เพื่อได้ผ่อนกรรมของตัวเราและคนในครอบครัวของเราให้
เบาลง เพราะว่าเรื่องของกรรมนั้นเราไม่สามารถที่จะสะเดาะเคราะห์
แก้ไขได้
แต่ว่ากรรมนั้นเหมือนอย่างกับน้ำเค็ม ถ้าหากว่ามีน้ำเค็มอยู่แก้วหนึ่ง
เราไม่สามารถจะดื่มได้เพราะน้ำนั้นเค็มมาก แต่ถ้าเราสร้างความดี
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เคราะห์กรรมนั้นก็เหมือนกับถูกเติมด้วยน้ำจืดไปเรื่อย
ท้ายสุดเมื่อเติมน้ำจืดมากๆ เข้า น้ำเค็มไม่ได้ไปไหนแต่รสชาติไม่มี
ดังนั้น ในเรื่องของการแก้ไขกรรมจึงจำเป็นต้องปฏิบัติในทาน ศีล
ภาวนาให้เข้มข้น โดยเฉพาะตัวภาวนาที่เป็นบุญใหญ่สุดใน
พระพุทธศาสนาของเรา จะได้ผ่อนคลายบรรเทากรรมของ
ประเทศชาติและตัวเรา ตลอดจนครอบครัวให้เบาลง
ถามว่าทำไมถึงต้องเป็นกรรมของคนส่วนรวมทั้งประเทศ ก็เพราะ
ว่าในอดีตชาติ หลายๆ ชาติ ในสมัยที่ยังนิยมการเผยแผ่พระราช
อำนาจด้วยการทำศึก ทำสงครามกับประเทศอื่น พวกเราก็เคยไป
ปล้นบ้านตีเมืองคนอื่นเขามา เมื่อถึงเวลากรรมส่วนนี้มาทัน ทรัพย์สินตลอดชีวิตของเราก็จะโดนทำลายด้วยภัยธรรมชาติพร้อมๆ กัน เนื่องจากรวมหัวไปทำเป็นจำนวนมากก็โดนด้วยกันพร้อมกันเป็นจำนวน
มาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด เป็นต้น
เพียงแต่ว่าถ้าผู้ใดมีความมั่นคงอยู่ในพระพุทธศาสนา มีการภาวนา
ไว้เป็นปกติ ก็ต้องเอาคำพูดของครูบาอาจารย์ที่อาตมาเคารพรักยิ่ง
มาตั้งแต่เด็กองค์หนึ่ง ก็คือหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเงินท่านบอกว่า ถ้ากำลังใจเราภาวนาได้สูงสุด ปืนยิงไม่ออก ถ้ากำลังใจ
ลดต่ำลงมานิดนึง ปืนยิงออกก็ไม่ถูก ถ้ากำลังใจต่ำลงมาอีกนิดนึง
ปืนยิงถูกก็ไม่เข้า ก็แปลว่าการอยู่ยงคงกระพันนั้นความจริงแล้วเป็น
กำลังใจที่ใช้ไม่ได้ซะด้วยซ้ำไป ถ้าหากว่ากำลังใจแย่กว่านั้นโดนยิง
เข้าก็ไม่ตาย เพราะบุญยังรักษาเราอยู่ ท้ายที่สุดถ้าเคราะห์กรรมหนัก
หลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงโดนยิงตาย ก็ยังไปสุคติ มีโลกสวรรค์เป็นต้น
เพราะกำลังใจของเราเกาะความดีในการภาวนา
ดังนั้น ในเรื่องภัยธรรมชาติต่างๆ ที่พระท่านกล่าวเตือนมาก็ดี อาตมา
นำมาบอกเล่าเพิ่มเติมก็ดี จำเป็นที่ท่านทั้งหลายต้องช่วยตัวเองและ
ครอบครัวตลอดจนประเทศชาติ ด้วยการภาวนาไว้ให้เป็นปกติ ถ้าใคร
ไม่รู้จักพระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ให้ลูกหลานที่เข้าอินเตอร์เน็ตเป็น
ไปเสิร์ซดู จะได้ตัวพระคาถามาเอง อาตมาจะบอกตรงนี้ให้ฟัง
แต่คาดว่าคงจะจดจำไม่ได้ถ้าไม่เคยภาวนามาก่อน คาถามีว่า
อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา อิติโพธิมะนุปปัตโต อิติปิโส
จะเตนะโม แล้วต่อด้วยนะโมพุทธายะ ภาวนาติดเป็นบทเดียวกันไป
ทำอย่างนี้ไว้ทุกวัน อธิษฐานภาพพระให้ครอบตัวของเราหรือ
ครอบครัวของเราหรือบ้านของเราเอาไว้ จะได้ผ่อนกรรมหนักให้เป็น
กรรมเบาลง ก็แปลว่าท่านทั้งหลายจะต้องใช้อัตตาหิ อัตโนนาโถ
คือ ตนเป็นที่พึ่งของตน
ในเรื่องของกรรมนั้น ไม่ว่าพระ หรือพรหม หรือเทวดาก็ตาม ท่าน
จะช่วยได้ไม่เกินกฎของกรรมเท่านั้น ถ้าดูตัวอย่างพระโมคคัลลานะ
อัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอดีต
เคยทุบตีพ่อแม่ตนเองจนถึงแก่ความตาย พอมาในชาติปัจจุบันแม้
พระองค์ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังโดนโจรที่พวกเดียรถีย์จ้าง
มาฆ่า ทุบจนกระดูกป่นเท่าเม็ดข้าวสาร ในตำราว่าถ้าหากว่าจับ
ปลายเท้ายกขึ้นกระดูกทั้งหมดจะไหลไปรวมกันที่ศีรษะ ถ้าจับด้าน
ศีรษะยกขึ้นกระดูกทั้งหมดจะไหลไปรวมกันทางปลายเท้า แสดงว่า
หนังเหนียวเป็นพิเศษแต่ว่าไม่สามารถจะทนความหนักได้จึงโดน
เขาทุบตาย นั่นระดับพระอรหันต์ผู้เลิศด้วยอภิญญาก็หนีกรรมไม่พ้น
ดังนั้น ในส่วนของพวกเราจำเป็นต้องพึ่งบารมีพระ เกาะพระไว้ทุกวัน
ให้เป็นปกติ ถ้าสามารถเกาะได้ทุกลมหายใจเข้าออกทั้งวันทั้งคืน
ยิ่งดี เพราะภัยธรรมชาติทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า
จะมาถึงตัวเราเมื่อไร ถ้าเราช่วยกันบำเพ็ญภาวนา กระแสความดี
มีมากพอก็ต้านให้มาช้าลง หรือไม่ก็ผ่อนหนักเป็นเบา แต่ถ้าหาก
ว่ากำลังไม่พอโดนไปเต็มๆ ตามเวรตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้
ถ้าเป็นท่านที่ไม่มีการบำเพ็ญภาวนาเลยก็อาจจะถึงแก่ชีวิต
ทรัพย์สินสูญหายหมด คนในครอบครัวอาจจะเสียชีวิตทั้งหมด
เป็นต้น ดังนั้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องทำเพื่อตัวเราเอง ถ้าเรา
ทำเพื่อตัวเราเองคือเราทำเพื่อครอบครัว ถ้าทุกครอบครัวช่วยกันทำ
ก็จะเป็นการทำเพื่อประเทศชาติ"
งานบวงสรวงพุทธาภิเษก เป่ายันต์เกราะเพชร
พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น