สิ่งที่หาได้ยากในโลกนี้มีมากมาย
แต่สิ่งที่หาได้ยากที่สุดมี 4 อย่างคือ
1. การได้เกิดมาเป็นมนุษย์
2. การมีชีวิตดำรงอยู่ยืนยาว
3. การได้ฟังพระสัทธรรม
4. การเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า
การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก
การเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนาเป็นทางลัดที่สุด ที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ถ้ามีความบริสุทธิ์มาก บุญกุศลก็เกิดขึ้นมาก ถ้ามีความบริสุทธิ์น้อย บุญกุศลก็ลดหย่อนลงไป ความบริสุทธิ์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เป็นสิ่งที่สั่งสมได้ ถ้าเราเจริญภาวนาทุกวัน ยิ่งเป็นการเพิ่มเติมความบริสุทธิ์ขึ้นทุกวัน จะทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และต่างกำลังแสวงหากันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเจริญภาวนา เพื่อให้ชีวิตของเราเข้าถึงความสุข และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ยาก การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นการยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก”
การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก ต้องอาศัยกำลังความเพียรในการสั่งสมความดีอย่างยิ่งยวด พระพุทธองค์ทรงอุปมาความยากในการเกิดเป็นมนุษย์ไว้ว่า “ในท้องทะเลกว้างใหญ่สุดจะประมาณ มีเต่าตาบอดทั้งสองข้างอยู่ตัวหนึ่ง ทุกๆ หนึ่งร้อยปี จะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ๑ ครั้ง และในท้องทะเลนี้มีห่วงที่พอดีกับหัวเต่าลอยอยู่อันหนึ่ง โอกาสที่เต่าตาบอดจะโผล่หัวขึ้นมา แล้วเอาหัวสอดเข้าไปในห่วงพอดี มีความยากเพียงใด โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น มีความยากยิ่งกว่า”
เมื่อเกิดมาแล้ว การที่จะรักษาชีวิตให้ดำเนินอยู่บนเส้นทางของการสร้างความดีไปได้ตลอดรอดฝั่งก็ทำได้ยาก เพราะภัยและอันตรายต่างๆ ที่เกิดกับชีวิตของเรามีอยู่รอบตัว และการที่จะได้มีโอกาสฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ในโบราณกาลผู้คนต่างแสวงหาความรู้อันแท้จริง และปรารถนาที่จะสนทนากับนักปราชญ์บัณฑิต เพื่อที่จะได้ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามคำสอนอันประเสริฐ
พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ กว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ต้องสร้างบารมีกันยาวนานหลายอสงไขยกัปทีเดียว ท่านสร้างบารมีทุกรูปแบบ แม้บางชาติจะพลัดไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ท่านก็ยังคงสร้างบารมี เพื่อมุ่งหวังพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงเป็นการยากอย่างนี้
* ในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งหนึ่งได้ไปเกิดเป็นพญานาคราช มีร่างกายใหญ่โต อายุยืนมาก อุดมไปด้วยสมบัติทั้งหลาย และพรั่งพร้อมไปด้วยบริวาร พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในราชสมบัติ เพราะดำริว่า “แม้เราจะมีสมบัติ และบริบูรณ์ด้วยความสุขนานัปการ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉาน โอกาสที่จะสร้างบุญบารมีได้เต็มที่นั้น ยากยิ่งนัก” เมื่อดำริอย่างนี้แล้วจึงตั้งใจรักษาศีล เพื่อว่าเมื่อพ้นจากอัตภาพของพญานาคแล้ว จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แล้วทรงออกจากนาคพิภพไปพำนักอยู่ในที่สงบ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ บรรดานางนาคกัญญาทั้งหลาย ต่างเกรงว่าพระองค์จะจากพวกนางไป จึงประดับประดาด้วยของหอม แล้วมาเย้ายวนพระองค์ เพื่อให้ศีลของพระองค์วิบัติ
พระองค์ดำริว่าหากเป็นเช่นนี้ โอกาสที่ศีลของเราจะบริสุทธิ์บริบูรณ์นั้น เป็นไปได้ยาก จึงขึ้นมาเมืองมนุษย์ ขดร่างกายอยู่ที่จอมปลวกริมฝั่งแม่น้ำ คนทั้งหลายผ่านมาต่างพากันบูชาด้วยของหอม และเครื่องสักการะมากมาย ทุก ๑ เดือน นาคราชจะกลับลงไปเมืองบาดาลครั้งหนึ่ง
นางสุมนาเทวีอัครมเหสีเป็นห่วงพญานาคราชจึงกล่าวว่า “เมื่อพระองค์ขึ้นไปบนเมืองมนุษย์เป็นเวลานาน หากพระองค์มีอันตราย ข้าพระองค์จะทราบได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์” พญานาคจึงพานางไปดูที่สระน้ำ แล้วบอกว่า “วันใด ที่สระน้ำขุ่นมัว ให้รู้ว่าเรากำลังจะโดนประหาร ถ้าพญาครุฑจับไป น้ำจะเดือดพลุ่งขึ้นมา ถ้าหมองูจับไป น้ำจะมีลักษณะสีแดงเหมือนโลหิต” เมื่อนาคราชบอกลักษณะของการเกิดภัยแล้ว จึงกลับขึ้นไปเมืองมนุษย์อีก
ในระหว่างที่รักษาศีลอยู่นั้น วันหนึ่งมีหมองูผ่านมา เห็นนาคราชขดอยู่ที่จอมปลวก ก็คิดจะจับงูไปแสดงให้ชาวเมืองดู เพื่อหาทรัพย์มาดำรงชีวิต คิดดังนั้นแล้ว จึงหยิบโอสถมาร่ายมนต์ เมื่อนาคราชถูกมนต์ ร่างกายก็เร่าร้อนเหมือนโดนถ่านเพลิง ศีรษะปวดร้าวเหมือนโดนบีบ ดำริว่าเกิดเหตุอะไร จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงในขนด เห็นหมองูกำลังร่ายมนต์ก็คิดว่า พิษของเรานั้นมากมาย ถ้าเราโกรธ แล้วพ่นลมจมูกออกไป ร่างกายของหมองูต้องแตกละเอียดเป็นธุลี แต่ถ้าทำอย่างนั้น ศีลของเราก็จะด่างพร้อย ครั้นสอนตัวเองเช่นนี้แล้ว ก็ขนดศีรษะต่อไป ไม่ต่อสู้หรือทำร้ายหมองู เพื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
หมองูเห็นนาคราชไม่โต้ตอบ จึงเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์ พ่นไปยังลำตัวของนาคราช นาคราชเหมือนโดนถ่านเพลิงร้อนๆ สาดใส่ ลำตัวพองบวม ดิ้นทุรนทุราย หมองูจับหางนาคราชให้เหยียดตรง บีบลำตัวด้วยไม้กีบ ทำให้ดิ้นไม่ได้ จับศีรษะแล้วบีบเค้นให้อ้าปากออก พ่นโอสถที่ร่ายมนต์แล้ว เข้าในปากของนาคราช ฟันของนาคราชหลุดออกหมด ปากเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นหมองูก็ขึ้นไปเหยียบลำตัว ทำให้กระดูกแหลกละเอียด ตลอดลำตัวของนาคราชเปื้อนไปด้วยเลือด สุดจะระงับความทุกข์ทรมานและสติไว้ได้ แต่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต จึงใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวด ไม่ยอมแม้กระทั่งคิดที่จะประทุษร้ายหมองูนั้นเลย
หมองูเห็นนาคราชอ่อนกำลังลง จึงจับใส่กรง แล้วนำไปแสดงตามหมู่บ้าน ไม่ว่าหมองูจะให้พญานาคแสดงอย่างไร พญานาคก็ทำตามทุกอย่าง ประชาชนดูแล้วพากันชอบใจให้ทรัพย์แก่หมองู เขานำพญานาคแสดงเรื่อยไปจนถึงเมืองหลวง พระราชาได้รับสั่งให้หมองูเข้าเฝ้า เพื่อทอดพระเนตรการแสดงของนาคราช เช้าวันนั้นคนทั้งเมืองได้มาดูการแสดงของนาคราช ต่างชอบใจพากันปรบมือเป็นที่สนุกสนาน
วันนั้น นางสุมนาเทวีระลึกถึงสามีของตนจึงไปดูที่สระน้ำ เห็นน้ำในสระเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนโลหิต รู้ทันทีว่า พญานาคราชต้องถูกหมองูจับไปแน่นอน นางเสด็จออกจากนาคพิภพขึ้นไปเมืองมนุษย์ ดูร่องรอยที่สามีถูกหมองูทรมานแล้วจับไป นางร้องไห้เที่ยวเดินถามชาวบ้านเรื่อยไปจนถึงเมืองหลวง จึงเหาะขึ้นไปยืนอยู่บนอากาศ เห็นพญานาคราชแสดงอยู่ ก็ร้องไห้ด้วยความสงสาร
พญานาคราชเหลือบไปเห็นนางยืนอยู่กลางอากาศ เกิดความละอาย จึงเลื้อยเข้าไปขดในกรง พระราชาสงสัยว่าเกิดอะไรกับพญานาค เมื่อทอดพระเนตรขึ้นไปบนอากาศเห็นนางสุมนาเทวียืนร้องไห้อยู่ จึงตรัสถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร ทำไมถึงร้องไห้เหมือนคนสติฟั่นเฟือน ท่านสูญเสียอะไรหรือ” นางตอบว่า “หม่อมฉันกำลังตามหาพระสวามีที่ถูกหมองูจับไป และนาคที่แสดงต่อหน้าพระองค์ คือสามีของหม่อมฉัน”
พระราชาตรัสว่า “ธรรมดาพญานาคนั้นมีฤทธิ์ มีพิษ มีกำลังมหาศาล ทำไมจึงตกอยู่ในอำนาจของหมองูเช่นนี้” พระนางตอบว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ที่พญานาคไม่แสดงฤทธิ์นั้น เป็นเพราะกำลังรักษาศีลอยู่ ถ้าพญานาคไม่รักษาศีลแล้ว บ้านเมืองของพระองค์ก็จะมอดไหม้เป็นธุลีอย่างแน่นอน ขอพระองค์ทรงปล่อยพญานาคราชด้วยเถิด”
พระราชาทรงรับสั่งให้หมองูปล่อยพญานาคทันที ทันใดนั้นพญานาคก็แปลงกายเป็นมนุษย์ แล้วประคองอัญชลีขอบพระทัยพระราชาที่เมตตาให้ชีวิต และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดถวายพระราชา จากนั้นจึงกราบทูลเชิญเสด็จชมเมืองบาดาล
เมื่อพระราชาเสด็จไปถึงเมืองบาดาล ทรงเห็นสมบัติและบริวารของพญานาคมากมาย จึงตรัสถามว่า “ท่านนาคราช ท่านก็มีสมบัติมากมาย แวดล้อมด้วยบริวารนับหมื่น อุดมไปด้วยรูปทิพย์ กลิ่นทิพย์ ทำไมท่านจึงมีความเพียรในการรักษาศีลเช่นนี้”
นาคราชตอบว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์บำเพ็ญเพียรรักษาศีลก็เพราะต้องการจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ทำให้โอกาสในการรักษาศีลง่ายกว่า สามารถสร้างบารมีอื่นได้สะดวกกว่า มีโอกาสบำเพ็ญภาวนา ได้บรรลุมรรคผลนิพพานง่ายกว่าการเป็นพญานาค เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงรักษาศีลยิ่งชีวิต”
จากเรื่องนี้ จะเห็นว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ได้มายากยิ่งนัก นักสร้างบารมีทุกยุคทุกสมัย ต่างต้องการเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะเป็นภพภูมิอันวิเศษที่เหมาะต่อการสร้างบารมีได้ทุกรูปแบบ ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถือว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ต้องรีบขวนขวายสร้างบารมีให้ครบทั้ง ๑๐ ทัศ อย่างน้อยที่สุด ก็ควรหมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้ได้ทุกๆ วัน เมื่อถึงคราวบุญบารมีเต็มเปี่ยม เราจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเราทุกคน
แต่สิ่งที่หาได้ยากที่สุดมี 4 อย่างคือ
1. การได้เกิดมาเป็นมนุษย์
2. การมีชีวิตดำรงอยู่ยืนยาว
3. การได้ฟังพระสัทธรรม
4. การเสด็จอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า
การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก
การเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนาเป็นทางลัดที่สุด ที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ถ้ามีความบริสุทธิ์มาก บุญกุศลก็เกิดขึ้นมาก ถ้ามีความบริสุทธิ์น้อย บุญกุศลก็ลดหย่อนลงไป ความบริสุทธิ์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เป็นสิ่งที่สั่งสมได้ ถ้าเราเจริญภาวนาทุกวัน ยิ่งเป็นการเพิ่มเติมความบริสุทธิ์ขึ้นทุกวัน จะทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และต่างกำลังแสวงหากันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเจริญภาวนา เพื่อให้ชีวิตของเราเข้าถึงความสุข และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ
กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท
การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ยาก การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นการยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก”
การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก ต้องอาศัยกำลังความเพียรในการสั่งสมความดีอย่างยิ่งยวด พระพุทธองค์ทรงอุปมาความยากในการเกิดเป็นมนุษย์ไว้ว่า “ในท้องทะเลกว้างใหญ่สุดจะประมาณ มีเต่าตาบอดทั้งสองข้างอยู่ตัวหนึ่ง ทุกๆ หนึ่งร้อยปี จะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ๑ ครั้ง และในท้องทะเลนี้มีห่วงที่พอดีกับหัวเต่าลอยอยู่อันหนึ่ง โอกาสที่เต่าตาบอดจะโผล่หัวขึ้นมา แล้วเอาหัวสอดเข้าไปในห่วงพอดี มีความยากเพียงใด โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น มีความยากยิ่งกว่า”
เมื่อเกิดมาแล้ว การที่จะรักษาชีวิตให้ดำเนินอยู่บนเส้นทางของการสร้างความดีไปได้ตลอดรอดฝั่งก็ทำได้ยาก เพราะภัยและอันตรายต่างๆ ที่เกิดกับชีวิตของเรามีอยู่รอบตัว และการที่จะได้มีโอกาสฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ในโบราณกาลผู้คนต่างแสวงหาความรู้อันแท้จริง และปรารถนาที่จะสนทนากับนักปราชญ์บัณฑิต เพื่อที่จะได้ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามคำสอนอันประเสริฐ
พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ กว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ต้องสร้างบารมีกันยาวนานหลายอสงไขยกัปทีเดียว ท่านสร้างบารมีทุกรูปแบบ แม้บางชาติจะพลัดไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ท่านก็ยังคงสร้างบารมี เพื่อมุ่งหวังพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงเป็นการยากอย่างนี้
* ในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งหนึ่งได้ไปเกิดเป็นพญานาคราช มีร่างกายใหญ่โต อายุยืนมาก อุดมไปด้วยสมบัติทั้งหลาย และพรั่งพร้อมไปด้วยบริวาร พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในราชสมบัติ เพราะดำริว่า “แม้เราจะมีสมบัติ และบริบูรณ์ด้วยความสุขนานัปการ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉาน โอกาสที่จะสร้างบุญบารมีได้เต็มที่นั้น ยากยิ่งนัก” เมื่อดำริอย่างนี้แล้วจึงตั้งใจรักษาศีล เพื่อว่าเมื่อพ้นจากอัตภาพของพญานาคแล้ว จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แล้วทรงออกจากนาคพิภพไปพำนักอยู่ในที่สงบ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ บรรดานางนาคกัญญาทั้งหลาย ต่างเกรงว่าพระองค์จะจากพวกนางไป จึงประดับประดาด้วยของหอม แล้วมาเย้ายวนพระองค์ เพื่อให้ศีลของพระองค์วิบัติ
พระองค์ดำริว่าหากเป็นเช่นนี้ โอกาสที่ศีลของเราจะบริสุทธิ์บริบูรณ์นั้น เป็นไปได้ยาก จึงขึ้นมาเมืองมนุษย์ ขดร่างกายอยู่ที่จอมปลวกริมฝั่งแม่น้ำ คนทั้งหลายผ่านมาต่างพากันบูชาด้วยของหอม และเครื่องสักการะมากมาย ทุก ๑ เดือน นาคราชจะกลับลงไปเมืองบาดาลครั้งหนึ่ง
นางสุมนาเทวีอัครมเหสีเป็นห่วงพญานาคราชจึงกล่าวว่า “เมื่อพระองค์ขึ้นไปบนเมืองมนุษย์เป็นเวลานาน หากพระองค์มีอันตราย ข้าพระองค์จะทราบได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์” พญานาคจึงพานางไปดูที่สระน้ำ แล้วบอกว่า “วันใด ที่สระน้ำขุ่นมัว ให้รู้ว่าเรากำลังจะโดนประหาร ถ้าพญาครุฑจับไป น้ำจะเดือดพลุ่งขึ้นมา ถ้าหมองูจับไป น้ำจะมีลักษณะสีแดงเหมือนโลหิต” เมื่อนาคราชบอกลักษณะของการเกิดภัยแล้ว จึงกลับขึ้นไปเมืองมนุษย์อีก
ในระหว่างที่รักษาศีลอยู่นั้น วันหนึ่งมีหมองูผ่านมา เห็นนาคราชขดอยู่ที่จอมปลวก ก็คิดจะจับงูไปแสดงให้ชาวเมืองดู เพื่อหาทรัพย์มาดำรงชีวิต คิดดังนั้นแล้ว จึงหยิบโอสถมาร่ายมนต์ เมื่อนาคราชถูกมนต์ ร่างกายก็เร่าร้อนเหมือนโดนถ่านเพลิง ศีรษะปวดร้าวเหมือนโดนบีบ ดำริว่าเกิดเหตุอะไร จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงในขนด เห็นหมองูกำลังร่ายมนต์ก็คิดว่า พิษของเรานั้นมากมาย ถ้าเราโกรธ แล้วพ่นลมจมูกออกไป ร่างกายของหมองูต้องแตกละเอียดเป็นธุลี แต่ถ้าทำอย่างนั้น ศีลของเราก็จะด่างพร้อย ครั้นสอนตัวเองเช่นนี้แล้ว ก็ขนดศีรษะต่อไป ไม่ต่อสู้หรือทำร้ายหมองู เพื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
หมองูเห็นนาคราชไม่โต้ตอบ จึงเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์ พ่นไปยังลำตัวของนาคราช นาคราชเหมือนโดนถ่านเพลิงร้อนๆ สาดใส่ ลำตัวพองบวม ดิ้นทุรนทุราย หมองูจับหางนาคราชให้เหยียดตรง บีบลำตัวด้วยไม้กีบ ทำให้ดิ้นไม่ได้ จับศีรษะแล้วบีบเค้นให้อ้าปากออก พ่นโอสถที่ร่ายมนต์แล้ว เข้าในปากของนาคราช ฟันของนาคราชหลุดออกหมด ปากเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นหมองูก็ขึ้นไปเหยียบลำตัว ทำให้กระดูกแหลกละเอียด ตลอดลำตัวของนาคราชเปื้อนไปด้วยเลือด สุดจะระงับความทุกข์ทรมานและสติไว้ได้ แต่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต จึงใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวด ไม่ยอมแม้กระทั่งคิดที่จะประทุษร้ายหมองูนั้นเลย
หมองูเห็นนาคราชอ่อนกำลังลง จึงจับใส่กรง แล้วนำไปแสดงตามหมู่บ้าน ไม่ว่าหมองูจะให้พญานาคแสดงอย่างไร พญานาคก็ทำตามทุกอย่าง ประชาชนดูแล้วพากันชอบใจให้ทรัพย์แก่หมองู เขานำพญานาคแสดงเรื่อยไปจนถึงเมืองหลวง พระราชาได้รับสั่งให้หมองูเข้าเฝ้า เพื่อทอดพระเนตรการแสดงของนาคราช เช้าวันนั้นคนทั้งเมืองได้มาดูการแสดงของนาคราช ต่างชอบใจพากันปรบมือเป็นที่สนุกสนาน
วันนั้น นางสุมนาเทวีระลึกถึงสามีของตนจึงไปดูที่สระน้ำ เห็นน้ำในสระเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนโลหิต รู้ทันทีว่า พญานาคราชต้องถูกหมองูจับไปแน่นอน นางเสด็จออกจากนาคพิภพขึ้นไปเมืองมนุษย์ ดูร่องรอยที่สามีถูกหมองูทรมานแล้วจับไป นางร้องไห้เที่ยวเดินถามชาวบ้านเรื่อยไปจนถึงเมืองหลวง จึงเหาะขึ้นไปยืนอยู่บนอากาศ เห็นพญานาคราชแสดงอยู่ ก็ร้องไห้ด้วยความสงสาร
พญานาคราชเหลือบไปเห็นนางยืนอยู่กลางอากาศ เกิดความละอาย จึงเลื้อยเข้าไปขดในกรง พระราชาสงสัยว่าเกิดอะไรกับพญานาค เมื่อทอดพระเนตรขึ้นไปบนอากาศเห็นนางสุมนาเทวียืนร้องไห้อยู่ จึงตรัสถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร ทำไมถึงร้องไห้เหมือนคนสติฟั่นเฟือน ท่านสูญเสียอะไรหรือ” นางตอบว่า “หม่อมฉันกำลังตามหาพระสวามีที่ถูกหมองูจับไป และนาคที่แสดงต่อหน้าพระองค์ คือสามีของหม่อมฉัน”
พระราชาตรัสว่า “ธรรมดาพญานาคนั้นมีฤทธิ์ มีพิษ มีกำลังมหาศาล ทำไมจึงตกอยู่ในอำนาจของหมองูเช่นนี้” พระนางตอบว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ที่พญานาคไม่แสดงฤทธิ์นั้น เป็นเพราะกำลังรักษาศีลอยู่ ถ้าพญานาคไม่รักษาศีลแล้ว บ้านเมืองของพระองค์ก็จะมอดไหม้เป็นธุลีอย่างแน่นอน ขอพระองค์ทรงปล่อยพญานาคราชด้วยเถิด”
พระราชาทรงรับสั่งให้หมองูปล่อยพญานาคทันที ทันใดนั้นพญานาคก็แปลงกายเป็นมนุษย์ แล้วประคองอัญชลีขอบพระทัยพระราชาที่เมตตาให้ชีวิต และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดถวายพระราชา จากนั้นจึงกราบทูลเชิญเสด็จชมเมืองบาดาล
เมื่อพระราชาเสด็จไปถึงเมืองบาดาล ทรงเห็นสมบัติและบริวารของพญานาคมากมาย จึงตรัสถามว่า “ท่านนาคราช ท่านก็มีสมบัติมากมาย แวดล้อมด้วยบริวารนับหมื่น อุดมไปด้วยรูปทิพย์ กลิ่นทิพย์ ทำไมท่านจึงมีความเพียรในการรักษาศีลเช่นนี้”
นาคราชตอบว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์บำเพ็ญเพียรรักษาศีลก็เพราะต้องการจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ทำให้โอกาสในการรักษาศีลง่ายกว่า สามารถสร้างบารมีอื่นได้สะดวกกว่า มีโอกาสบำเพ็ญภาวนา ได้บรรลุมรรคผลนิพพานง่ายกว่าการเป็นพญานาค เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงรักษาศีลยิ่งชีวิต”
จากเรื่องนี้ จะเห็นว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ได้มายากยิ่งนัก นักสร้างบารมีทุกยุคทุกสมัย ต่างต้องการเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะเป็นภพภูมิอันวิเศษที่เหมาะต่อการสร้างบารมีได้ทุกรูปแบบ ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถือว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ต้องรีบขวนขวายสร้างบารมีให้ครบทั้ง ๑๐ ทัศ อย่างน้อยที่สุด ก็ควรหมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้ได้ทุกๆ วัน เมื่อถึงคราวบุญบารมีเต็มเปี่ยม เราจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเราทุกคน
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_