พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอน อกุศลกรรมบถ ๑๐
เตือนว่าการประพฤติไม่เรียบร้อย
เป็นทางไปไดเกิดในอบายเปรตวิสัย เดรัจฉาน สัตว์นรก...
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่ เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติธรรม ทางกาย มี ๓ อย่าง!
(ความไม่ประพฤติธรรม) ทางวาจามี ๔ อย่าง!
(ความไม่ประพฤติธรรม) ทางใจ มี ๓ อย่าง!
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติ ธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นไฉน?
(๑) บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้ฆ่าสัตว์ คือ
เป็นคนเหี้ยมโหด
มีมือเปื้อนเลือด
พอใจในการประหารและการฆ่า
ไม่มีความละอาย
ไม่ถึงความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง
(๒) เป็นผู้ถือเอาทรัพย์ที่เขามิได้ให้ คือ
ลักทรัพย์เป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของบุคคลอื่น
ที่อยู่ในบ้าน หรือที่อยู่ในป่า
ที่เจ้าของมิได้ให้
ซึ่งนับว่าเป็นขโมย
(๓) เป็นผู้ประพฤติผิดในกามทั้งหลาย คือ
ถึงความสมสู่ในพวกหญิง
ที่มารดารักษา ที่บิดารักษา
ที่มารดาและบิดารักษา
ที่พี่ชายรักษา ที่พี่สาวรักษา
ที่ญาติรักษา ที่มีสามี
ที่อิสรชนหวงห้าม
ที่สุดแม้หญิงที่เขาคล้องแล้ว
ด้วยพวงมาลัย (หญิงที่เขาหมั้นไว้)
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความประพฤติธรรมทางกาย ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล!
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติ ธรรมทางวาจา ๔ อย่าง เป็นไฉน?
(๔) บุคคลบางคนในโลกนี้
เป็นผู้กล่าวเท็จคือ
ไปในที่ประชุม
หรือไปในหมู่ชน
หรือไปในท่ามกลางญาติ
หรือไปในท่ามกลางขุนนาง
หรือไปในท่ามกลางราชสกุล
หรือถูกนำไปเป็นพยาน ถูกถามว่า
แน่ะบุรุษผู้เจริญ! เชิญเถิด!
ท่านรู้เรื่องใด ก็จงบอก เรื่องนั้น
เขาเมื่อไม่รู้ก็บอกว่า รู้บ้าง!
เมื่อรู้บอกว่า ไม่รู้บ้าง!
เมื่อไม่เห็น ก็บอกว่าเห็นบ้าง!
เมื่อเห็นก็บอกว่า ไม่เห็นบ้าง!
เป็นผู้กล่าวคำเท็จทั้งรู้อยู่
เพราะเหตุตนบ้าง
เพราะเหตุผู้อื่นบ้าง
เพราะเหตุเห็นแก่สิ่งเล็กน้อยบ้าง
(๕) เป็นผู้ส่อเสียด คือ
ได้ฟังข้างนี้แล้ว นำไปบอกข้างโน้น!
เพื่อทำลายพวกข้างนี้บ้าง!
หรือฟังข้างโน้นแล้ว นำไปบอกข้างนี้!
เพื่อทำลายพวกข้างโน้นบ้าง!
ยุพวกที่พร้อมเพรียงกันให้แตกกันไปบ้าง!
ส่งเสริมพวกที่แตกกันบ้าง!
ส่งเสริมพวกที่แตกกันแล้วบ้าง!
ชอบใจในคนที่แตกกันเป็นพวก!
ยินดีในความแตกกันเป็นพวก!
ชื่นชมในพวกที่แตกกัน
และกล่าววาจาที่ทำให้แตกกันเป็นพวก!
(๖) เป็นผู้มีวาจาหยาบ คือ
กล่าววาจาที่เป็นโทษหยาบ
อันเผ็ดร้อนแก่ผู้อื่น
อันขัดใจผู้อื่น
อันใกล้ต่อความโกรธ
ไม่เป็นไปเพื่อความสงบจิต
(๗) เป็นผู้กล่าวคำเพ้อเจ้อ คือ
พูดในเวลาไม่ควรพูด
พูดเรื่องที่ไม่เป็นจริง
พูดไม่เป็นประโยชน์
พูดไม่เป็นธรรม
พูดไม่เป็นวินัย
กล่าววาจา ไม่มีหลักฐาน
ไม่มีที่อ้าง ไม่มีที่สุด
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
โดยกาลไม่สมควร
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติธรรมทางวาจา ๔ อย่างเป็นอย่างนี้แล!
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ก็ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นไฉน?
(๘) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความโลภมาก คือ
เพ่งเล็งทรัพย์
อันเป็นอุปกรณ์เครื่องปลื้มใจของผู้อื่นว่า
ขอของผู้อื่นพึงเป็นของเราเถิด ดังนี้!
(๙) เป็นผู้มีจิตพยาบาท คือ
มีความดำริในใจอันชั่วช้าว่า
ขอสัตว์เหล่านี้
จงถูกฆ่าบ้าง
จงถูกทำลายบ้าง
จงขาดสูญบ้าง
อย่าได้มีแล้วบ้าง ดังนี้!
(๑๐) เป็นผู้มีความเห็นผิด คือ
มีความเห็นวิปริตว่า
ผลแห่งทานที่ให้แล้ว ไม่มี
ผลแห่งการบูชา ไม่มี
ผลแห่งการเซ่นสรวง ไม่มี
ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่ว ไม่มี
โลกนี้ ไม่มี โลกหน้า ไม่มี
มารดา ไม่มี บิดา ไม่มี
สัตว์ทั้งหลายที่เป็นอุปปาติกะ ไม่มี
สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย!
ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ
ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัด
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วสั่งสอนให้ผู้อื่นรู้
ไม่มีอยู่ในโลก ดังนี้!
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
ความประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ความไม่ประพฤติธรรมทางใจ ๓ อย่าง เป็นอย่างนี้แล!
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย!
สัตว์บางพวกในโลกนี้
เข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต และนรก
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก
เพราะเหตุประพฤติไม่เรียบร้อย คือ
ไม่ประพฤติธรรม อย่างนี้แล!
พระไตรปิฎก(ฉบับหลวง)
เล่ม ๑๒ หน้า ๓๖๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น