เคยมีท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งถามท่านพ่อลีว่า
"ในเมื่อเป็นพระกรรมฐาน ดำเนินในปฏิปทาของ "ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" แล้ว ทำไมท่านจึงชอบนำพาเหล่าบรรดาญาติโยม จัดงานบุญงานกุศลสร้างพระอยู่เป็นประจำ ไม่มุ่งเน้นพาเหล่าบรรดาญาติโยมให้ปฏิบัติภาวนาล่ะ?"
ท่านพ่อลีท่านก็ตอบท่านเจ้าคุณรูปนั้นว่า
เกล้ากระผม ทำนาไม่ได้เอา
"ข้าว" อย่างเดียว (มรรคผล)
"แกลบ" ผมก็เอา (เนกขัมมบารมี)
"รำ" ผมก็เอา (บุญกุศล)
"ฟาง" ผมก็เอาขอรับ (นิสัยวาสนา)
หมายเหตุ : เพราะในบุคคลทั้งหลายย่อมมีนิสัยวาสนาและบุญบารมีธรรมที่สั่งสมอบรมมามากน้อย ต่างกันไม่เท่าเทียมกัน ครั้นถ้าท่านพ่อลีจะมุ่งเน้นสอนแต่ "การภาวนา" ก็คงจะได้ผลเพียงบางคนเท่านั้น
ท่านจึงเล็งเห็นว่า คนที่ "บารมียังอ่อน" ยังไม่ถึงพระนิพพานในชาตินี้ ก็คงต้องได้อาศัยยึดเกาะ "บุญกุศล" ให้จิตใจมีศีลมีธรรม เพื่อไม่ตกลงในอบายภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ท่านจึงมีดำริสร้างพระพุทธรูปและมีงานบุญอยู่เป็นประจำ อันเป็นความปรารถนาดีที่ท่านมีต่อลูกศิษย์ทุกๆคน เพียงแต่ใครจะมีสายตามองเห็น "ความเมตตา"ขององค์ท่านได้มากน้อย ตามแต่ภูมิจิตภูมิธรรมของแต่ละบุคคลเป็นรายๆไป
กรรมเป็นผู้จำแนกสัตว์
สมบัติของเรา คือ กาย วาจา ใจ เป็นสิ่งที่ได้ด้วยยาก เพราะคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ต้องประพฤติศีล ๕ มีกรรมบถ ๑๐ จึงจะเล็ดลอดมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ทีนี้เรามาพิจารณาดูสิ การจะมาปฏิบัติศีล ๕ หรือมาปฏิบัติกรรมบถ ๑๐ นี่มันยากง่ายเพียงใด แค่ไหน ถ้าเราคิดว่าการรักษาศีล ๕ เป็นของยาก การรักษากรรมบถ ๑๐ เป็นของยาก เราก็จะรู้ว่าการมาเป็นมนุษย์นี้เป็นของยาก
การได้ความเป็นมนุษย์มาก็ได้มาด้วยกฎของกรรม คนเราทุกๆ คนอยากจะไปเกิดในสถานที่ดีๆ ทีสมบูรณ์พูนสุข แต่เราก็เลือกเกิดเองไม่ได้ ทั้งนี้เพราะกฎของกรรมมันจำแนก กัมมัง สัตเต วิภะชะติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นต่างๆ กัน
บางคนถูกกรรมจำแนกในตระกูลต่ำ บางคนถูกกรรมจำแนกให้เกิดในตระกูลปานกลาง ลางคนก็ถูกจำแนกให้เกิดมาแล้วเป็นผู้มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะกฏของกรรมและอำนาจของกรรมเป็นผู้จำแนก
ใครจะเชื่อก็ตาม ไม่เชื่อก็ตาม คนเรามีความสามารถพอๆ กันเกือบทุกคนนั่นแหละ สมมุติว่าใครก็ตามที่เรียนจบปริญญามาด้วยกัน มาทำงานร่วมกัน ในสถาบันเดียวกัน คนหนึ่งมีความก้าวหน้า ก้าวหน้าทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สมบัติ อีกคนหนึ่งก้าวไปไม่ได้ถึงไหน ยังแถมยากจนด้วย เงินเดือนก็ไม่พอใช้ ทั้งที่คน ๒ คนนี้มีความรู้เท่ากัน มีกำลังกายแข็งแรงเท่ากัน แต่ทำไมจึงประสบผลสำเร็จไม่เหมือนกัน ก็เพราะผลของกรรมนั่นเอง
ดังนั้น หลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ทรงรู้แจ้งเห็นจริง คนที่ทำกรรมดีได้ดี ทำกรรมชั่วได้ชั่ว พระองค์จึงสั่งสอนให้ทำแต่กรรมดี ฉะนั้น ที่ท่านทั้งหลายตั้งใจร่วมกันจัดให้มีการฟังเทศน์เป็นประจำ จะว่าทุกเดือนหรือทุกสัปดาห์ก็ว่าได้นั้น ก็เพราะเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการฟังเทศน์เป็นบุญอย่างหนึ่ง และถ้าฟังแล้วนำเอาไปปฏิบัติตามด้วยก็ยิ่งได้บุญมาก
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_