หลังวันออกพรรษา (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑) ก็ย่างเข้าสู่ “กฐินกาล” หรือฤดูกาลทอดกฐินสามัคคี โดยมีระยะเวลารวมทั้งหมด ๓๐ วัน คือ นับตั้งแต่ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ (วันตักบาตรเทโว) ไปจนถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (วันลอยกระทง)
“กฐินกาล” เป็นประเพณีที่อยู่คู่กับพุทธศาสนิกชนไทยมาช้านาน นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี โดยสันนิษฐานว่าเริ่มมีมาแต่แรกรับพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท(นับถือตามอาจารย์) เข้ามาในดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจมีมาตั้งแต่สมัยทวราวดี เพียงแต่มาปรากฏหลักฐานชัดเจน ดังปรากฏความในศิลาจารึกหลักที่ ๑
คำว่า “กฐิน” หมายถึง กรอบไม้แม่แบบ (สะดึง) สำหรับทำจีวร และ เป็นชื่อเรียก “ผ้าไตรจีวร” ที่ถวายแด่พระสงฆ์เพื่อกรานกฐิน ที่พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยให้ภิกษุกรานกฐินได้เพียง ๑ เดือน คือ จากวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เท่านั้น หลังจากนั้นแล้วไม่นับเป็นกฐินค่ะ
ปฐมเหตุที่ทรงอนุญาตกฐิน
ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ณ วัดเชตวันมหาวิหาร หรือวัดพระเชตวัน เมืองสาวัตถี มีพระภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป ล้วนถือธุดงควัตรทั้ง ๑๓ ข้อ อาทิเช่น อารัญญิกังคธุดงค์ คือ ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร, ปิณฑปาติกังคธุดงค์ คือ ถือการบิณฑบาตเป็นวัตร, และเตจจีวริกังคธุดงค์ คือ ถือผ้า ๓ ผืน (ไตรจีวร) มีความตั้งใจจะพากันไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ซึ่งจำพรรษาในเมืองสาวัตถี แต่ต้องเดินทางไกล และเผอิญถึงฤดูกาลเข้าพรรษาเสียก่อน เดินทางต่อไปไม่ได้ จึงตกลงกันอธิษฐานใจอยู่จำพรรษา ณ เมืองสาเกต ตลอดไตรมาส ครั้นล่วง ๓ เดือนออกพรรษาทำปวารณาเสร็จแล้วก็เดินทางไปเมืองสาวัตถีโดยเร็ว
ครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสถามถึงสุขทุกข์และความก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติธรรม พระภิกษุเหล่านั้นต่างพากันกราบทูลให้ทรงทราบถึงความลำบากตรากตรำในระหว่างเดินทางของตน เพราะอยู่ในช่วงฤดูฝน มีจีวรเก่า พากันเดินเหยียบย่ำโคลนตม จีวรเปรอะเปื้อนโคลนเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน พระพุทธองค์ทรงทราบความลำบากของพระภิกษุเหล่านั้นจึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุผู้ที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว รับผ้ากฐินของผู้มีจิตศรัทธาถวายได้
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_