แม่ทัพ “นเรนทราทิตย์” ในภาพสลักสงครามกลางเมือง (?) ที่ปราสาทพนมรุ้ง
“จารึกบ้านทาด (Ban That inscription K. 364) อักษรเขมร ภาษาสันสกฤต ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของ “ปราสาททาดสามปรางค์” (ธาตุสามปรางค์) หรือปราสาทบ้านนาสำรวย เขตเมืองสุขุมา แขวงจำปาสัก (บาสัก-Bassac) ประเทศลาว ห่างไปทางทิศใต้ของปราสาทวัดพู ตามเส้นทางถนนโบราณ ประมาณ 18 กิโลเมตร จารึกขึ้นในสมัยพระเจ้าสูริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 17 บทสรรคะที่ 3 (Sargas) โฉลกที่ 30 กล่าวว่า
“...พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1 (Dharanīndravarman) กษัตริย์ผู้ซึ่งถูกแบ่งอาณาจักรออกเป็น 2 ส่วน ผู้ถูกพิชิตโดยพระเจ้าสุริยวรมัน (ที่ 2) (Suryavarman) ผู้เป็นหลานชายของกษัตริย์ทั้งสอง ”... (R.C. Majumdra 1953)
สรรคะ 3 โฉลกที่ 33 ว่า
"...Lâchant sur la terre des combats l'océan de ses armées, il livra une terrible bataille; bondissant sur la tète de l'éléphant du roi ennemi, il le tua,comme Garuda, [s'abattant] sur la cime d'une montagne, tue un serpent..."
.
“....พระองค์ทรงปล่อยให้กองทัพที่มีมากมายประดุจคลื่นมหาสมุทรอันปั่นป่วนต่อสู้กับศัตรู ส่วนพระองค์ทรงทะยานขึ้นหัวช้างและทรงปลงพระชนม์พระราชาผู้เป็นศัตรู ดุจพญาครุฑสังหารพญานาคบนยอดบรรพต...” (L. Finot 1912)
จารึกพนมรุ้ง 7 (K.384) ด้านที่ 3 กล่าวถึง แม่ทัพนเรนทราทิตย์ ว่า “...ในสนามรบอันดุเดือด พระองค์กวัดแกว่งพระขรรค์ปลายแหลมเข้าประหารศัตรู พระองค์กระโจนขึ้นไปในอากาศ เปรียบประดุจกองเพลิงอันร้อนแรง ทรงเข้าสังหารพระราชาผู้เป็นศัตรูด้วยกำลังอำนาจ อุปมาดั่งสายฟ้าอันประเสริฐที่ฟาดฝ่ามาบนยอดเขา พร้อมนำสายฝนแห่งธรรมมาสู่แผ่นดิน...”
--------------------------------
*** จารึกบ้านทาดและจารึกปราสาทพนมรุ้ง อาจได้กล่าวถึงเรื่องราว “สงครามกลางเมือง” (Civil War) ในหน้าประวัติศาสตร์ของ "ราชวงศ์มหิธระปุระ – มหรธีปุระ " (Mahidharapura Dynasty) ราชสำนักแห่งดินแดนวิมายปุระ – อีสานใต้ และเข้าไปปกครองอาณาจักรกัมพุชะเทศะ ปรากฏเป็นสลักอยู่บนหน้าบันซุ้มบัณชร ชั้นเชิงบาตรชั้นที่ 2 ฝั่งทิศใต้ของปราสาทประธานเขาพนมรุ้ง
ภาพการสงครามบนหลังช้าง หรือ “ยุทธหัตถี” ตรงส่วนกลางของภาพ อาจเป็นเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญร่วมสมัยกับการสร้างปราสาท ที่เกี่ยวเนื่องกับแม่ทัพนเรนทราทิตย์-สูริยะ ผู้สถาปนาปราสาทพนมรุ้งอันงดงามขึ้นใหม่ ตามคติ “ไศวนิกาย-ปุศปตะ” (ต่อมา หิรัณยะ ผู้เป็นบุตรได้มีการก่อสร้างต่อ) แตกต่างไปจากความนิยมของพระเจ้าสูริยวรมันที่ 2 ที่นิยมคติ “ไวษณพนิกาย” ไม่น่าจะเป็นภาพสลักบอกเล่าเรื่องทางวรรณกรรมทั้งรามายณะ ที่พบโดยทั่วไปตามขนบแบบแผนของภาพสลักในวัฒนธรรมเขมรโบราณ และไม่ใช่สงครามทุ่งกุรุเกษตร ในมหากาพย์มหาภารตะ ที่มีการพระราชสงครามระหว่างเหล่ากษัตริย์ชมพูทวีปบนราชรถเทียมม้าจำนวนมาก อย่างภาพสลักที่ผนังระเบียงคดด้านตะวันตก ปีกทิศใต้ปราสาทนครวัด ไม่ใช่การยุทธหัตถีบนหลังช้างครับ
ภาพบุคคลที่กระโจนทะยานจากช้างศึกของตนไปยังช้างศึกฝ่ายศัตรูอย่างเก่งกล้าและคล่องแคล่ว สอดรับกับจารึกปราสาทพนมรุ้งหลักที่ 7 - 9 ที่กล่าวถึงนเรนทราทิตย์ว่า “...ทรงมีรูปโฉมที่งดงาม (หล่อ) เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่สตรี เป็นผู้เฉลียวฉลาด มีปัญญาเฉียบแหลม คล่องแคล่ว ในความสามารถในการรบ ทรงเป็นแม่ทัพของพระเจ้าสูริยวรมันที่ 2 ในสงครามสำคัญหลายครั้ง .... ทรงชำนาญการรบบนหลังช้าง และทรงถนัดในการใช้อาวุธหลากชนิด ...”
“....สงครามและชัยชนะในสมรภูมิของพระองค์ คือชัยชนะของชาวมหิธระปุระ และเป็นชัยชนะของธรรมะ เหนือ ฝ่ายศัตรู ผู้เป็นดั้งอธรรม...”
ภาพสลักที่แสดงให้เห็นร่างของราชาฝ่ายศัตรูที่ร่วงลงมาอยู่ในงวงช้าง สวมศิราภรณ์ทรงสูงอย่างคนสำคัญ ช้างทรงประดับกลดสัปทน ขบวนกองทัพที่มีธงเครื่องสูงประกอบ อาจเป็นพระราชาคนสำคัญในศึกครั้งใหญ่สุดของแม่ทัพนเรนทราทิตย์ผู้เก่งกล้า ในสงครามกลางเมืองของราชวงศ์ ที่สมรภูมิเมืองพระนครศรียโสธระปุระ
ภาพบุคคลที่หล่นลงมาตรงงวงช้าง อาจเป็นภาพวาระสุดท้ายของ “พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 1” พระราชาแห่งราชวงศ์ พระเชษฐาแห่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 6 ผู้เป็นพระปิตุลาของพระเจ้าสูรยวรมันที่ 2 ที่พ่ายแพ้ สิ้นพระชนม์ในการสงครามบนหลังช้าง จากศึกชิงอำนาจครั้งสำคัญนี้
เป็นภาพสลักมงคลเพื่อเป็นประจักษ์พยานว่า พระองค์คือผู้ที่สามารถเอาชนะศึกชิงบ้านชิงเมืองในครั้งนั้น ร่วมกับ“พระเจ้าสูริยวรมันที่ 2” นำธรรมะและความสงบสุขมาสู่อาณาจักร
ภาพสลักหน้าบัญชร เชิงบาตร (วิมาน) ชั้นแรกฝั่งทิศเหนือ ยังอาจหมายถึงขบวนกองทัพของนเรนทราทิตย์ที่เดินทางไปทำสงคราม ยึดดินแดนทางเหนือหลายครั้ง ก่อนจะกลับมาอภิเษกเป็นนักพรต บำเพ็ญโยคะวิถีตามแบบพระศิวะอย่างเข้มงวด ตลอด 7 เดือนที่ “รมยคีรี” (Ramya Giri) อันมีปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ที่เปรียบเสมือนวิมานไกรลาส-ศิริศะ แห่งพระศิวะบนโลก ศูนย์กลางของมหิธระปุระนั่นเอง
เครดิต ;
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
เพราะทุกที่มีเรื่องราวและเรื่องเล่า
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_