วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563

มหากปิชาดก

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

มหากปิชาดก
ผลบาปของผู้ทำร้ายผู้มีคุณ
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการกลิ้งศิลาของพระเทวทัต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มี ดังนี้
ความโดยย่อว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวติเตียนพระเทวทัต เพราะใช้นายขมังธนู เพราะกลิ้งศิลาในเวลาต่อมา พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กลิ้งศิลาเพื่อฆ่าเราเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสแสดงดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ในพระนครพาราณสี ในหมู่บ้านกาสิกคาม พราหมณ์ชาวนาผู้หนึ่ง ไถนาเสร็จแล้วปล่อยโคไป เริ่มทำการงานขุดหญ้าพรวนดินด้วยจอบ ฝูงโคเคี้ยวกินใบไม้ที่พุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วก็พากันหนีเข้าไปสู่ดงไปหมด พราหมณ์นั้นคะเนว่าถึงเวลาแล้ว ก็วางจอบเหลียวหาฝูงโคไม่พบ เกิดความโทมนัส จึงเที่ยวค้นหาในดงเข้าไปจนถึงป่าหิมพานต์ พราหมณ์นั้นหลงทิศทางในป่าหิมพานต์ อดอาหารถึงเจ็ดวัน เดินไปพบต้นมะพลับต้นหนึ่ง จึงขึ้นไปเก็บผลรับประทาน พลัดตกลงมาจากต้นมะพลับ เลยตกลงไปในเหวดุจขุมนรกลึกตั้ง ๖๐ ศอก พราหมณ์ตกอยู่ในเหวล่วงไปได้สิบวัน
คราวนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดวานร กำลังเคี้ยวกินผลาผล เหลือบเห็นบุรุษนั้นเข้า จึงผูกเชือกเข้าที่หิน ช่วยบุรุษนั้นขึ้นมาได้ แต่เมื่อวานรโพธิสัตว์กำลังหลับอยู่นั้น พราหมณ์นั้นก็ได้เอาหินมาทุ่มลงที่ศีรษะพระโพธิสัตว์ แม้เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารู้การกระทำของเขาอย่างนั้นแล้วแต่ก็ยังช่วยเหลือเขาผู้นั้นโดยกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้ แล้วกล่าวว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ ท่านจงเดินไปตามพื้นดิน ข้าพเจ้าจักเดินบอกหนทางแก่ท่านบนกิ่งไม้ แล้วพาบุรุษนั้นออกจากป่าจนถึงหนทาง แล้ววารพระโพธิสัตว์จึงเข้าไปสู่บรรพตตามเดิม
บุรุษนั้นล่วงเกินพระมหาสัตว์เจ้าแล้วเกิดโรคเรื้อน กลายเป็นมนุษย์เปรตในปัจจุบันทันตาเห็นทีเดียว เขาถูกความทุกข์เบียดเบียนอยู่เจ็ดปี เที่ยวเร่ร่อนไปถึงมิคาชินอุทยาน เขตพระนครพาราณสี ลาดใบตองลงภายในกำแพง นอนเสวยทุกขเวทนา คราวนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงแวดล้อมไปด้วยมิตรและอำมาตย์ เสด็จไปยังมิคาชินอุทยาน.ณ ที่นั้นได้ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ ซึ่งเป็นโรคเรื้อน ขาวพราวเป็นจุด ๆ ตามตัว มากไปด้วยกลากเกลื้อน เรี่ยราดด้วยเนื้อที่หลุดออกมาจากปากแผล เช่นกับดอกทองกวาวที่บาน ในเรือนร่างทุกแห่งมีเพียงกระดูกซูบผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น.แล้วดำรัสถามว่า เจ้าเป็นใคร ทำกรรมอะไรไว้ จึงต้องรับทุกข์เช่นนี้? ฝ่ายเปรตนั้นได้กราบทูลเรื่องราวทั้งมวลโดยพิสดารดังนี้
ขอเดชะ เมื่อข้าพระพุทธเจ้า เที่ยวตามโคที่หายไปคนเดียวได้หลงทางเข้าไปในป่าหิมพานต์ อันแสนจะกันดารเงียบสงัด อันหมู่กุญชรชาติท่องเที่ยวไปมา.ข้าพระองค์หลงทางเข้าไปในป่าทึบ อันหมู่มฤคร้ายกาจท่องเที่ยวไปมา ต้องทนหิวระหาย เที่ยวไปในป่านั้นตลอด ๗ วัน
ณ ป่านั้น ข้าพระพุทธเจ้ากำลังหิวจัด ได้เห็นต้นมะพลับต้นหนึ่ง ตั้งอยู่หมิ่นเหม่ เอนไปทางปากเหวมีผลดกดื่น
ทีแรก ข้าพระพุทธเจ้า เก็บผลที่ลมพัดหล่นมากินก่อน เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากินผลที่หล่นมาเหล่านั้นรู้สึกพอใจ ยังไม่อิ่มจึงปีนขึ้นไปบนต้น ด้วยหวังใจว่าจะกินให้สบายบนต้นนั้น
ข้าพระพุทธเจ้ากินผลที่หนึ่งเสร็จแล้ว ปรารถนาจะกินผลที่สองต่อไป เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเหยียดมือคว้าเอาผลที่ต้องการ ทันใดนั้น กิ่งไม้ที่ขึ้นเหยียบอยู่นั้น ก็หักขาดลง ดุจถูกตัดด้วยขวานฉะนั้น
ข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยกิ่งไม้นั้น ตีนชี้ฟ้าหัวหกตกลงไปในห้วงเหวภูเขาอันขรุขระ ซึ่งไม่มีที่ยึดที่เหนี่ยวเลย
ข้าพระพุทธเจ้าหยั่งไม่ถึงเพราะน้ำลึก ต้องไปนอนไร้ความเพลิดเพลิน ไร้ที่พึ่งอยู่ในเหวนั้น ๑๐ราตรีเต็ม ๆ
ภายหลังมีลิงตัวหนึ่ง มีหางดังหางโค เที่ยวไปตามซอกเขา เที่ยวไต่ไปตามกิ่งไม้ หาผลไม้กิน ได้มาถึงที่นั้น มันเห็นข้าพระพุทธเจ้าผอมเหลือง ได้เอ็นดูกรุณาในข้าพระพุทธเจ้า.ถามว่า พ่อชื่อไร ทำไมจึงมาทนทุกข์อยู่ที่นี่อย่างนี้ เป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ขอได้โปรดแนะนำตนให้ข้าพเจ้าทราบด้วย
ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ประนมอัญชลีไหว้ลิงตัวนั้นแล้วกล่าวว่า เราเป็นมนุษย์ถึงแล้วซึ่งหายนะ เราไม่มีหนทางที่จะไปจากที่นี่ได้ เพราะเหตุนั้น เราจึงบอกให้ท่านทราบไว้ ขอท่านจงมีความเจริญ อนึ่ง ขอท่านโปรดเป็นที่พำนักของข้าพเจ้าด้วย
ลิงนั้นเที่ยวไปหาก้อนหินก้อนใหญ่ในภูเขามา แล้วผูกเชือกไว้ที่ก้อนหิน ร้องบอกข้าพระพุทธเจ้าว่า มาเถิดท่าน จงขึ้นมาเกาะหลังข้าพเจ้า เอามือทั้งสองกอดคอไว้ เราจักพาท่านกระโดดขึ้นจากเหวโดยเต็มกำลัง
ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำของพญาพานรินทร์ตัวนั้นแล้ว จึงขึ้นเกาะหลัง เอามือทั้งสองโอบคอไว้.ลำดับนั้น พญาวานรก็พาข้าพระพุทธเจ้ากระโดดขึ้นจากเหว โดยความยากลำบากทันที
ครั้นขึ้นมาได้แล้ว พญาวานรได้ขอร้องข้าพระพุทธเจ้าว่า แน่ะสหาย ขอท่านจงคุ้มครองข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าจักงีบสักหน่อย.ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี และเสือดาวสัตว์เหล่านั้น พึงเบียดเบียนข้าพเจ้าซึ่งกำลังหลับอยู่ ถ้าท่านเห็นพวกมันจงป้องกันเราไว้จากสัตว์เหล่านั้น
เพราะข้าพระพุทธเจ้าช่วยป้องกันให้อย่างนั้น พญาวานรจึงหลับไปสักครู่หนึ่ง คราวนั้น โดยที่ข้าพระพุทธเจ้าขาดความคิด กลับได้มีความคิดเห็นอันลามกว่า ลิงนี้ก็เป็นอาหารของมนุษย์ทั้งหลาย เท่ากับมฤคอื่น ๆ ในป่านี้เหมือนกัน อย่ากระนั้นเลย เราควรฆ่าวานรนี้กินแก้หิวเถิด.อนึ่ง อิ่มแล้ว จักถือเอาเนื้อไปเป็นเสบียงเดินทาง เราจักต้องผ่านทางกันดาร เนื้อก็จักได้เป็นเสบียงของเรา
ทันใดนั้น ข้าพระพุทธเจ้า จึงได้หยิบเอาหินมาทุ่มศีรษะลิง แต่เนื่องจากข้าพระพุทธเจ้าลำบากเพราะอดอาหาร กำลังก้อนหินที่ข้าพระพุทธเจ้าทุ่มลงจึงมีแรงน้อย
ลิงนั้นผลุดลุกขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตัวอาบไปด้วยเลือด ร่ำไห้มองดูข้าพระพุทธเจ้า ด้วยตาอันเต็มไปด้วยน้ำตา พลางกล่าวว่า นายอย่าทำข้าพเจ้าเลย ขอท่านจงมีความเจริญ แต่ท่านได้ทำกรรมอันหยาบช้าเช่นนี้ และท่านก็รอดตายมีอายุยืนมาได้เพราะข้าพเจ้า สมควรจะห้ามปรามสัตว์อื่นมิให้มาทำร้ายข้าพเจ้า แน่ะ ท่านกลับเป็นผู้กระทำกรรมอันยากที่บุคคลจะทำลงได้ น่าอดสูใจจริงๆ ข้าพเจ้าช่วยให้ท่านขึ้นจากเหวลึก ซึ่งยากที่จะขึ้นได้เช่นนี้
ชีวิตท่านท่านนั้นเหมือนข้าพเจ้านำกลับมาจากปรโลก ยังคิดจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ด้วยจิตอันเป็นบาปธรรม แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ท่านเป็นผู้ไม่มีธรรม ข้าพเจ้าต้องประสบทุกขเวทนาเช่นใด เวทนาอันเผ็ดร้อนเช่นนี้อย่าถูกต้อง ท่านเลย บาปกรรมนั้นอย่าฆ่าท่าน ดังขุยไผ่ฆ่าไม้ไผ่เลย ขอเดชะพระมหาราชเจ้า พญาวานรเอ็นดูข้าพระพุทธเจ้าอย่างบุตรสุดที่รักด้วยประการฉะนี้
ทีนั้น ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวกะพญาวานรว่า ข้าแต่เจ้า ท่านอย่ากระทำสิ่งที่ ข้าพเจ้ากระทำเลย ท่านอย่าให้ข้าพเจ้าผู้เป็นอสัตบุรุษต้องฉิบหายเสียในป่าอย่างนี้เลย ข้าพเจ้าหลงทิศไม่รู้หนทาง โปรดอย่าทำให้กุศลกรรมที่ท่านทำไว้แล้วให้พินาศเสีย โปรดให้ชีวิตเป็นทานแก่ข้าพเจ้า ช่วยนำข้าพเจ้าออกจากป่า ไปดำรงอยู่ในถิ่นฐานแดนมนุษย์เถิด
เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้แล้ว พญาวานรนั้นจึงกล่าวว่า นับแต่วันนี้ไป เรากับท่านไม่มีความคุ้นเคยกัน แน่ะบุรุษผู้เจริญ เราจะไม่เดินทางไปกับท่าน แต่ท่านจงมาเถิด ท่านจงเดินไปพอเห็นร่างไม่ห่างจากหลังเรา เราจักเดินไปทางปลายยอดไม้ เท่านั้น
ขอเดชะมหาราชเจ้า ลำดับนั้น พญาวานร ได้นำข้าพเจ้าออกจากป่าแล้วกล่าวว่า แน่ะบุรุษผู้เจริญ ท่านพ้นจากเงื้อมมือสัตว์ร้ายแล้ว.มาถึงถิ่นของมนุษย์แล้ว นี่ทาง ท่านจงไปตามทางนั้นเถิด
วานรนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ล้างเลือดที่ศีรษะ เช็ดน้ำตาเสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นไปยังภูเขา.ข้าพระพุทธเจ้า เป็นผู้อันวานรนั้นอนุเคราะห์แล้ว ถูกความกระวนกระวายเบียดเบียน ร้อนเนื้อตัวได้ลงไปยังห้วงน้ำแห่งหนึ่งเพื่อจะดื่มกินน้ำ.ห้วงน้ำก็เดือดพล่าน เหมือนถูกต้มด้วยไฟ นองไปด้วยเลือด คล้ายกับน้ำเลือดน้ำหนองฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏแก่ข้าพระพุทธเจ้าอย่างเห็นชัด
หยาดน้ำตกต้องกายของข้าพระพุทธเจ้ามีเท่าใดฝีก็ผุดขึ้นเท่านั้น มีสัณฐานเหมือนมะตูมครึ่งลูก ฝีก็แตกในวันนั้นเอง น้ำเลือดน้ำหนองของข้าพระพุทธเจ้าก็ไหลออกมา มีกลิ่นเหม็นดุจซากศพ
อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าจะเดินไปทางไหน ในบ้านและนิคมทั้งหลาย พวกมนุษย์ทั้งหญิงแลชาย พากันถือท่อนไม้ห้ามกันข้าพระองค์ ผู้ฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นว่า อย่าเข้ามาข้างนี้นะ
บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้เสวยทุกขเวทนา เห็นปานนี้ อยู่ ๗ ปี ซึ่งเป็นผลกรรมชั่วของตนในปางก่อน เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลายที่มาประชุมกันอยู่ในที่นี้ ขอพระองค์อย่าได้ประทุษร้ายมิตร เพราะว่าผู้ประทุษร้ายมิตรจัดเป็นคนเลวทราม ในโลกนี้ ผู้ที่ประทุษร้ายมิตร ย่อมเป็นโรคเรื้อนเกลื้อนกลาก เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงนรก
เมื่อบุรุษนั้น กำลังกราบทูลพระราชาอยู่ แผ่นดินก็แยกช่องให้ เขาก็จุติไปบังเกิดในอเวจีมหานรก ในขณะนั้นเอง พระราชาก็เสด็จออกจากพระราชอุทยาน เสด็จสู่พระนคร
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กลิ้งศิลา ประทุษร้ายเราเหมือนกันแล้วทรงประชุมชาดกว่า บุรุษผู้ประทุษ ร้ายมิตรในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัต พญาวานร ได้มาเป็นเราผู้ ตถาคต ฉะนี้แล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น