วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พระพุทธมหาชนก

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.


พระพุทธ​มหาชนก
พระประธาน​พระอุโบสถ​วัดปทุม​คงคา
วัดปทุมคงคาเป็นวัดโบราณ​สมัยอยุธยา​ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา​ ชื่อเดิมของวัดนี้​ ฟังครั้งเดียวก็จะจำไปได้หลายปี​ เพราะชื่อ​ "วัดสำเพ็ง"
เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์​ กรมพระราชบวรมหาสุรสิงหนาททรงบูรณะ​ปฏิสังขรณ์​ เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก​ สมเด็จพระบรมชนกนาถ​ ทรงพระราชทานนามวัดใหม่ว่า​ "วัดปทุมคงคา"
ถึงรัชกาลที่​ 4​ พระบาท​สมเด็จ​พระ​จอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ทรง​พระราช​ดำริว่า​ วัดปทุม​คงคา​เป็นวัดที่อุทิศถวายสมเด็จ​พระบรมปัยกาธิราช​ พระประธานควรที่จะเป็นพระทรงเครื่อง​ จึงโปรด​ให้​พระเจ้าราชวรวงศ์​เธอ​ กรมขุนราชสีหวิกรม​ ผู้กำกับกรมช่างสิบหมู่​ แปลงพระประธานเป็นพระพุทธรูป​ทรงเครื่องอย่างพระเจ้า​จักร​พรร​ดิ์
(ในกรุงเทพ​พระ​มหานคร​ จึงมีพระประธานทรงเครื่องใหญ่​ 2​ วัด​ คือวัดนางนองและวัดปทุม​คงคา)​
ต่อมาในรัชกาลที่​ 9​ พระบาทสมเด็จ​พระ​เจ้าอยู่หัวทรงถวายพระนามพระประธานว่า​ "พระพุทธ​มหาชนก"
วัดปทุม​คงคา​เป็นวัดสำคัญ ในสมัยต้นกรุง​ร​ั​ตนโกสินทร์​ เป็นสถานที่ประหารชีวิตเจ้านาย​ เจ้านายองค์​สุดท้ายในประวัต​ิศาสตร์​ที่ถูกสำเร็จ​โทษด้วยท่อนจันทน์​คือ​ กรมหลวงรักษ์​รณเรศ ยังมีพระแท่นประหารอยู่ที่วัดนี้​ และในงานพระบรมศพ​ จะอัญเชิญ​พระบรมราชสรีรางคาร​ลงเรือขนวนแห่มาลอยอังคารกลางแม่น้ำที่หน้าวัดนี้​ ถือเคล็ด​ตามชื่อวัดว่า​ปทุมคงคา​ และช้างเผือกล้มก็จะห่อผ้าขาวนำมาถ่วงน้ำที่หน้าวัดนี้เช่นกัน
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พระศรีสรรเพชญ์

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

“พระศรีสรรเพชญ์” พระพุทธรูปหุ้มทองคำแห่งราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ได้กล่าวถึงการสร้างพระศรีสรรเพชญ์ไว้ว่า
“... ศักราช 862 วอกศก (พ.ศ. 2043) สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้า แรกให้หล่อพระพุทธเจ้าศรีสรรเพชญ์ แลแรกหล่อในวัน 186 ค่ำ ครั้นเถิงศักราช 865 กุนศก (พ.ศ. 2046) 11 ค่ำ เดือน 8 ฉลองพระพุทธเจ้าพระศรีสรรเพชญ์ คณนาพระพุทธเจ้านั้น แต่พระบาทเถิงยอดพระรัศมีนั้น สูงได้ 8 วา (16 เมตร) พระพักตร์นั้นยาวได้ 4 ศอก (2 เมตร)  กว้างพระพักตร์นั้น 3 ศอก (1.5 เมตร) แลพระอุระนั้นกว้าง 11 ศอก  (5.5 เมตร) แลทองหล่อพระพุทธเจ้านั้นหนัก 5 หมื่น 3 พันชั่ง (3,480 กิโลกรัม) ทองคำหุ้มนั้นหนักสองร้อยแปดสิบหกชั่ง (343 กิโลกรัม) ข้างหน้านั้นทองเนื้อ 7 น้ำสองขา ข้างหลังนั้นทองเนื้อ 6 น้ำสองขา...”
ในเอกสารคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ฉบับหอหลวง ได้กล่าวถึงพระมหาพุทธปฏิมากรที่มีพระพุทธานุภาพเปนหลักกรุงศรีอยุธยา สืบมาแต่โบราณ 8 องค์  พระศรีสรรเพชญ์ถูกระบุไว้ว่า".... พระพุทธศรีสรรเพชรดาญาณยืนสูง 8 วา หุ้มทองคำทั้งพระองค์ อยู่ในพระมหาวิหารวัดพระศรีสรรเพชร...." 
--------------------------------------
*** บันทึกของ  “บาทหลวงฟร็องซัว-ตีมอเลอง เดอ ชัวซี” (François-Timoléon de Choisy) ผู้ช่วย “มองสิเออร์ เลอ เชอร์วาเลีย เดอ โชมอง" (Chevalier de Chaumont) ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามากรุงศรีอยุธยาในช่วงเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2228 ได้กล่าว่า "...มองสิเออร์ คอนสตันซ์ (Constance Phaulkon - คอนสแตนติน ฟอลคอล) ได้นำคณะบาดหลวงเข้าชมภายในวันพระศรีสรรเพชญ เมื่อวันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2228.... 
....เราพากันเดินต่อไปอีกสักพักใหญ่ก็ไปถึงพระอารามหลวง (วัดพระศรีสรรเพชญ์) พอเดินย่างเข้าไปข้าพเจ้าก็คิดว่าเป็นโบสถ์อย่างของเรานั่นเอง ที่ระเบียงโบสถ์มีเสากลมใหญ่เป็นอันมาก แต่ไม่มีลวดลายพิสดารอะไรเลยเสาใหญ่ ๆ ตามทางเดินและที่ชานระเบียงปิดทองตลอดทั้งต้นทุก ๆ ต้น ส่วนกลางในที่ใกล้กับแท่นอันประดิษฐานพระพุทธรูปนั้น ประดับประดางดงามมาก บนฐานมีพระพุทธรูปทองคำอยู่ 3 องค์ ขนาดเท่าคนธรรมดา นั่งอยู่ในท่าที่ชาวเมืองชอบนั่งกันเสมอเป็นนิจ (เห็นจะนั่งขัดสมาธิ,ไม่ใช่นั่งพับเพียบ) มีเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่ที่พระนลาฏและที่นิ้วพระหัตถ์ เทวรูปองค์ที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือเมื่อขาเข้ามานั้นเป็นที่เคารพบูชาของชนชาวสยามทั่วไป เป็นสมมุติเทวรูปแห่งเทพยดาของชาวสยาม ซึ่งเมื่อสองหรือสามพันปีมาแล้วอยู่ที่เกาะลังกา ต่อมาประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียงได้ไปรักษาไว้ และในที่สุดพระเจ้ากรุงสยามมีชัยชนะในการสงคราม จึงอัญเชิญเทวรูปนั้นมาประดิษฐานไว้ที่พระอารามนี้ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ชาวบ้านชาวเมืองโจษกันว่าเทวรูปองค์นี้บางทีแสดงปาฏิหาริย์ออกไปนอกพระราชวัง ในเมื่อนึกอยากจะออกไป...
...ส่วนกลางพระอารามแห่งนี้ค่อนข้างจะคับแคบและมืดไปสักหน่อย มีชวาลาจุดตามประทีปไว้ 50 ดวง พอไปถึงที่สุดตอนกลางพวกเราก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอันมาก ด้วยได้เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่หุ้มด้วยทองคำหนาถึง 3 นิ้วฟุตทั้งองค์พระพุทธรูปองค์นี้สูงประมาณ 42 ฟุต (6 วา 2 ศอก ประมาณ 13 เมตร) ส่วนกว้าง (ฐาน) ประมาณ 13 – 14  ฟุต (ประมาณ 4.2 เมตร) เขาพูดกันว่าทองคำที่หุ้มนั้นมีน้ำหนักถึง 12400,000 ปอนด์ฝรั่งเศส...      
...นอกจากนี้ เรายังได้เห็นพระพุทธรูปทองคำในโบสถ์อื่น ๆ ในพระอารามหลวงอีกหลายองค์ สูง 17 - 18 ฟุตเท่านั้น (5.4 เมตร) ขนาดเท่าคนก็มี และแทบทุกองค์มีอัญมณีประดับอยู่ที่พระนลาฏและนิ้วพระหัตถ์ ข้าพเจ้ารับรองว่านิ้วพระหัตถ์นั้นเป็นทองคำแท้ทีเดียว พวกเราลองจับและลูบคลำดูทุกคน ส่วนพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นข้าพเจ้ามิได้แตะต้อง เป็นแต่ยืนห่าง แต่ก็เชื่อแน่นอนว่าคงเป็นทองคำเช่นเดียวกันกับพระพุทธรูปองค์อื่นๆเหมือนกัน เพราะลักษณะและสีสันวรรณะเท่าที่แลเห็นนั้นก็เป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น นอกจากพระพุทธรูปเหล่านี้แล้ว ยังมีพระพุทธรูปซึ่งประดับเครื่องทองคำอีก 30 องค์เศษ และยังมีอีก 3 องค์สูง 25 ฟุต (7.6 เมตร) และอีก 150 องค์ ขนาดเท่าคนธรรมดา (ในระเบียงคด) พระพุทธรูปเหล่านี้มีอยู่ 3 - 4 องค์ที่หุ้มทองคำ ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปเงิน 2 องค์เท่านั้น และที่เป็นทองสัมฤทธิ์ก็มีบ้าง ท่านอยากจะรู้จักชื่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไหม ? พระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นมีชื่ออย่างเดียวกับพระอาราม (วัดพระศรีสรรเพชญ์) ....
....พระพุทธรูปบางองค์สูงสูงเพียง 2 ฟุต ก็มี ทำด้วยทองคำและทองแดงประสมกัน (นาก) มีรัศมีอร่ามสุกใสยิ่งเรียกว่าทองคำแท้ ๆ เรียกว่า “พระธรรมภาค” (Tambaqne) ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะสวยงานสมจริงดังคำเล่าลือเลย บางทีจะทำด้วยแร่ทองขาวก็เป็นได้ พระพุทธรูปองค์นี้อนุสาวรีย์ สมมุติกันว่าเป็นโซโลมอน (Salomon) ข้าพเจ้าได้สังเกตดูต้นไม้ที่ตั้งไว้เป็นพุทธบูชานั้น ต้นลำกิ่งก้านและใบทำด้วยทองคำอย่างประณีต ต้นไม้ทองคำเหล่านี้เป็นเครื่องราชบรรณาการซึ่งเจ้าประเทศราชอันเป็นเมืองขึ้นของสยามประเทศส่งมาถวายพระเจ้ากรุงสยาม เมื่อได้ดูทองคำเสียจนจุใจลานตาแล้ว  เราก็เลยพากันไปชมปืนใหญ่มหึมา ...
-----------------------------
*** บาทหลวงกี ตาชาร์ด (Guy Tachard) หนึ่งในคณะบาทหลวงที่ได้เข้าไปในวัดพระศรีสรรเพชญพร้อมกับบาทหลวงเดอชัวสี  บันทึกว่า “...ตอนเช้าราว 8 นาฬิกา จึงได้เข้าไปในพระราชวังหลวง ซึ่ง มองสิเออร์ คอนสตันซ์ คอยรับอยู่ที่นั่น หลังจากที่ผ่านลานไปสักแปดหรือเก้าแห่งแล้วก็ถึงพระอุโบสถหลังหนึ่ง (พระวิหารหลวง) ซึ่งงดงามและเป็นที่เลื่องชื่อมากของราชอาณาจักร หลังคานั้นมุงด้วยแผ่นตะกั่วถ้ำ อันเป็นโลหะสีขาวชนิดหนึ่งระหว่างดีบุกกับตะกั่วเป็นหลังคา เหลื่อมกันถึงสามชั้นซ้อน ตรงหน้าประตูทางเข้าพระอุโบสถนั้น มีรูปปั้นพระโคอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นรูปสัตว์ประหลาดหน้าตาน่ากลัว พระอุโบสถนี้มีความยาวมากแต่ค่อนข้างแคบ และเมื่อเข้าไปข้างในก็มีแต่ทองคํา ไปเสียทั้งนั้นทั้งต้นเสา ผนัง ลายกระหนกบนเพดาน และปฏิมากรต่าง ๆ ล้วนหุ้มทองไว้อย่างแนบเนียนราวกับว่าปิดทองคําเปลวไปทั่วทุกสิ่ง ตัวพระอุโบสถนั้นก็เหมือน ๆ กับโบสถ์ฝรั่งของเรา คือค้ำจุนหลังคาไว้ด้วยเสาต้น ใหญ่ ๆ เมื่อล่วงลึกเข้าไป มีแท่นคล้ายแท่นบูชาเป็นที่ประดิษฐานปฏิมากร อยู่สามหรือสี่องค์ ล้วนเป็นทองทึบทั้งสิ้น สูงขนาดเท่าตัวคน บ้างก็ยืน บ้างก็นั่งขัดสมาธิตามแบบคนสยาม ลึกเข้าไปมีแท่นยกพื้น คล้ายเวทีที่คณะร้องเพลงสวดในโบสถ์ฝรั่ง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอันมีค่ามากของราชอาณาจักร เขาให้ชื่อวัดตามชื่อพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายใน....
... พระพุทธรูปองค์นี้สร้างแบบประทับยืน ยอดพระเศียรจรดหลังคาพระอุโบสถ มีความสูงราว 45 ฟุต (ประมาณ 13.7 เมตร) และกว้างราว 7 หรือ 8 ฟุต (2 – 2.4 เมตร) สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือเป็นทองทึบทั้งองค์ พระพุทธรูปขนาดนี้น่าจะต้องใช้ทองคําหนักไม่ต่ำกว่าร้อยหาบ (Pic) และจะต้องมีมูลค่าประมาณสิบสองล้านห้าหมื่น livres  ทีเดียว เขาว่ากันว่าพระพุทธรูปขนาดมหึมานี้ได้รับการหล่อหลอมตรงที่ประดิษฐานนั่นเอง แล้วจึงสร้างพระอุโบสถขึ้นครอบต่อภายหลัง เราไม่เข้าใจเลยว่าประชาชนพลเมืองที่ค่อนข้างยากจนเหล่านี้ ไปได้ทองคํามาจากที่ไหนมากมายถึงเท่านี้ แต่ก็ไม่สามารถหักห้ามมิให้รู้สึกประทับใจได้เลยเมื่อ ได้เห็นพระพุทธรูป ซึ่งเพียงองค์เดียวเท่านั้นก็มีมูลค่ากว่าศีลศักดิ์สิทธิ์ (Fabernacle) ทุกแห่งในโบสถ์ฝรั่งทั้งหลายของทวีปยุโรปรวมกันเสียแล้ว ใน ที่ใกล้เคียงกันนั้นยังมีพระพุทธรูปขนาดย่อมลงมาอีกหลายองค์ ล้วนเป็นทองคําและประดับด้วยอัญมณี พระอุโบสถหลังนี้มิใช่หลังงามที่สุดในกรุงศรีอยุธยา เป็นความจริงที่ว่าแห่งอื่นมิได้มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ถึงเท่านี้ แต่ก็มีอยู่หลายแห่งทีเดียวที่มีพระพุทธรูปที่ได้สัดได้ส่วน ประกอบด้วยพุทธลักษณะอันงดงาม อันมีพระอุโบสถอยู่หลังหนึ่งซึ่งควรจะได้บรรยายไว้ ณ ที่นี้ด้วย....
---------------------------------
*** บันทึกของ นิโกลาส์ แชร์แวส (Nicolas Gervaise) ที่เข้ามาพร้อมนักบวชเพื่อเผยแพร่ศาสนาในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2224 – 2229  ได้พรรณนาถึงเรื่องทรัพย์สมบัติของพระมหากษัตริย์ภายในพระราชวังหลวงและในส่วนของวัด จากคำบอกเล่าโดยที่ไม่ได้เข้าไปเห็นด้วยตัวเอง ในบันทึกภาคที่ 4 บทที่ 6 ว่า “... ในพระเจดีย์ (Le Pagode) ที่อยู่ในวังหลวงนั้นมีทรัพย์สมบัติมากมายเป็นที่รับรู้กันของชาวต่างประเทศในกรุงศรีอยุธยา เล่ากันว่าภายในวัดมีรูปทองคำบริสุทธิ์ (Idole d'or, tout pur,) สูงประมาณ 13 เมตร (42 ฟุต - quarantc-deux pieds) หล่อขึ้นตรงบริเวณที่ประดิษฐาน แล้วจึงสร้างวิหารครอบขึ้นภายหลัง....”
------------------------------------ 
*** จากหลักฐานที่สอดรับกัน  ยืนยันว่ามีพระพุทธรูปยืนหุ้มด้วยทองคำ “หนา” 3 นิ้วฟุต (Pouce) น้ำหนักทองคำ 286 ชั่ง ประดิษฐานเป็นประธานภายในวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ ทองคำที่หุ้มมีจำนวน 343 กิโลกรัม เท่ากับน้ำหนักทองคำในปัจจุบัน 22,295 บาท ประมาณมูลค่าทองคำเป็นเงินบาทในปัจจุบันที่ 558 ล้านบาทครับ
เครดิต ; FB
วรณัย  พงศาชลากร
EJeab  Academy
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


ทองหุ้มพระศรีสรรเพชดาญาณหนักกี่บาท

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

พระศรีสรรเพชรดาญาณ
ตามตำนานของพงศาวดารเคยกล่าวว่าไว้
ศักราช ๘๖๒ วอกศก ตรงกับ ๒๐๔๓ ไป
สมเด็จพระรามาธิบดีแรก ให้หล่อสร้างไว้จำให้ดี
พระพุทธเจ้าศรีสรรเพชร์แรก หล่อในวัน ๑๘๖ ค่ำ
ครั้นถึงศักราช ๘๖๕ กุนศก ตรงกับ ๒๐๔๖ ดี
๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ฉลอง พระพุทธเจ้าศรีสรรเพชร์ เอย
คณาพระพุทธเจ้านั้น แต่พระบาทถึงยอดรัศมี เอย
สูง ๘ วา  พระพักตร์ยาว ๔ ศอก ไม่ขาดเกินเลย
กว้างพระพักตร์ เอย ๓ ศอก งดงามจับใจ
แล พระอุระ นั้น กว้าง ๑๑ ศอก เห็นจะได้
ทองหล่อไว้ หนัก ๕ หมื่น ๓ พัน ชั่ง
( 1ชั่ง = 80บาท
1000ชั่ง = 80,000บาท
53,000X80 = 4,240,000 บาท
คิดทองบาทละ 20,000
4,240,000*20,000=84,800,000,000บาท)
หุ้มด้วยทองอีกที น้ำหนัก ๒๘๖ ชั่ง
ข้างหน้านั้นทองเนื้อ ๗ น้ำสองขาเอย
ข้างหลัง ทอง เนื้อ ๖ น้ำสองขา
งดงามกว่าพระพุทธรูปใดในทั้งปวง
พระศรีสรรเพชรดาญาณ ยืนสูง ๘ วา ที่กล่าวเรื่อง
หามีใครเหมือน เรื่องลือทั่วผืนแผ่นดิน
แสนสุดเสียดายต้องมาพังทลายจนหมดสิ้น
ด้วยเหตุ พิษภัย แห่งศึก สงคราม
ไม่เหลือให้เราลูกหลานได้ชมความงดงาม
เหลือเพียง ตำนาน ที่กล่าวขวัญ แล คำเรื่องลือ
เครดิต ;
อ.วรณัย พงศาชลากร 
....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


วันมาฆบูชา

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

“วันมาฆบูชา” ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓)
“สรุปเรื่องสำคัญเนื่องในวันมาฆบูชา”
“มาฆบูชา” ย่อมาจาก “มาฆปูรณมีบูชา” หมายถึงการบูชาวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน ๓ ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือเดือนมีนาคม วันมาฆบูชาเป็นเสมือนวันประชุมกันเป็นพิเศษแห่งพระอรหันตสาวก โดยมิได้มีการนัดหมายล่วงหน้าซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันวรมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน วันนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วันจาตุรงคสันติบาต” (มาจากศัพท์บาลี คือ จตุ+องค+สนนิปาต+ แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ประกอบทั้ง ๔ ประการ) เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างประจวบเหมาะ ๔ ประการ คือ
๑. วันที่พระสงฆ์ทั้งหมดมาชุมนุมกันนี้ ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓)
๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย
๓. พระภิกษุ เหล่านั้นทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกขุอุปสมปทา)
๔. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้อภิญญา ๖
พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นพระพุทธพจน์ ๓ คาถา ซึ่งถือได้ว่า เป็นหัวใจของพระศาสนา มีใจความดังนี้
พระพุทธพจน์คาถาแรก ทรงกล่าวถึง พระนิพพาน ว่าเป็นจุดมุ่งหมายหรืออุดมการณ์อันสูงสุดของบรรพชิตและพุทธบริษัท อันมีลักษณะที่แตกต่างจากศาสนาอื่น ดัง พระบาลีว่า “นิพพานัง ปรม วทนติ พุทธ”  แปลว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า พระนิพพานเป็นบรมธรรม
พระพุทธพจน์คาถาที่ ๒ ทรงกล่าวถึง "วิธีการอันเป็นหัวใจสำคัญเพื่อเข้าถึงจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาแก่พุทธบริษัททั้งปวง โดยย่อดังพระบาลีว่า “สพพปาปสส อกสรณ กุสลสสูปสมปทา สจิตตปริโยทปเน เอต พุทธานสาสนฯ” คือ การไม่ทำชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญแต่ความดี และการทำจิตของตนให้ผ่องใสเป็นอิสระจากกิเลสทั้งปวง ส่วนนี้เองของโอวาทปาฏิโมกข์ที่พุทธศาสนิกชนมักท่องจำกันไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นเพียงคาถาใน ๓ คาถากึ่งของโอวาทปาฏิโมกข์เท่านั้น
ส่วนพระพุทธพจน์คาถาสุดท้าย ทรงกล่าวถึงหลักการปฏิบัติของพระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนา ๖ ประการ คือ การไม่กล่าวร้ายใคร ,การไม่ทำร้ายใคร ,การมีความสำรวมในปาฏิโมกข์ทั้งหลาย ,การเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหารและการรู้จักที่นั่งนอนอันสงัด
ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม เมื่อได้มาตรัสรู้และประกาศคำสอนแล้ว ก็จะประกาศหัวใจของศาสนาด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งมีหัวข้อสำคัญอยู่ ๓ หัวข้อด้วยกันคือ ๑. ละเว้นจากการทำบาปทั้งปวง ๒. ทำกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม ๓. ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ
นี่คือหัวใจของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในอดีตก็ดี หรือจะมาตรัสรู้ในภายภาคหน้าก็ดี ก็จะสอนเหมือนกันทั้งนั้น เพราะคำสอนนี้เป็นเหตุที่จะนำสัตว์โลกไปสู่ความสุข ความเจริญแคล้วคลาดปลอดภัยจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง เพราะสัตว์โลกทั้งหลายทั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมาจนถึงสัตว์นรก ก็ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมทั้งสิ้น คือ “กฎของเหตุและผล” เหตุก็คือการกระทำ ผลก็คือความสุขความเจริญ หรือความทุกข์ความเสื่อม ก็จะตามมาไม่ยกเว้นใครทั้งสิ้น ถ้าทำเหตุที่ดีตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำทั้ง ๓ ประการ ก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ถ้ายังไม่ได้บรรลุก็จะได้เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ไปก่อน จนกว่าจะทำภารกิจให้เสร็จสิ้นไป ก็จะได้กลายเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ถ้ายังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ก็จะเวียนว่ายอยู่ในภพที่ดี อยู่ในสุคติ เกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทพบ้าง เป็นพรหมบ้าง แล้วในที่สุดก็จะได้เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป ได้ไปอยู่ในพระนิพพาน อันเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุขมีแต่ความเจริญโดยฝ่ายเดียว ปราศจากความทุกข์ต่างๆ
การกำจัดความโลภความโกรธความหลง ด้วยการสร้างปัญญาให้เกิดขึ้น สอนตนเองว่าไม่มีอะไรในโลกนี้เที่ยงแท้แน่นอน ที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ที่จะอยู่กับเราไปตลอด ที่จะให้ความสุขไร้ความทุกข์ เมื่อต้องพลัดพรากจากกัน ก็จะต้องปล่อยวาง เตรียมตัวเตรียมใจว่า สักวันหนึ่งจะต้องจากกันไป จะได้รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ เพราะเดือดร้อนไปทุกข์ไป ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้ เมื่อถึงเวลาจะต้องตายจากกัน  จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็ต้องตายจากกันเหมือนกัน แต่คนที่ไม่ทุกข์ เป็นคนฉลาด เพราะใจสบาย คนที่ทุกข์เป็นคนโง่ ต้องแบกความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะไม่สร้างปัญญามาทำลายความหลงนั่นเอง นี้ก็คือการกำจัดความโลภความโกรธความหลงในจิตใจ เพื่อที่จะทำให้ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป
ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนา ชุด กำลังใจ ๓๑
เรื่อง “วันมาฆบูชา” กัณฑ์ที่ ๓๐๒
วันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


ทำไมต้องนะโม

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.


ทำไมต้องนะโม
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสะ  ๓ ครั้ง
ข้าพเจ้า ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไม
ต้องกล่าวบทคำบูชาพระพุทธเจ้านี้ก่อน ว่าคาถาอื่น   (โบราณเรียกตั้งนะโม ๓ จบ) หรือนำหน้าบทสวดมนต์ต่างๆ ตลอดด้วย
ที่มาของคำบูชาพระบรมศาสดานี้
มีเรื่องเล่าว่า ณ แดนหิมวันต์ประเทศ  มีเทือกเขาชื่อว่า สาตาคิรี เป็นที่ร่มรื่น รมณียสถาน เป็นที่อยู่ของพวกยักษ์ที่เป็นภุมเทพยดา อันมีนามตามที่อยู่ว่า
สาตาคิรียักษ์
มีหน้าที่เฝ้าทางเข้าหิมวันต์ ทางทิศเหนือ
เป็น บริวารของท้าวเวสสุวัณ
สาตาคิรียักษ์ ได้มีโอกาสสดับ พระสัทธรรมจากพระบรมศาสดา จนมีจิตเลื่อมใสศรัทธา เปล่งคำยกย่องบูชาด้วยคำว่า "นะโม"

๑"นะโม"หมายถึง พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นใหญ่กว่า มนุษย์ เทพยดา พราหมณ์ มาร ยักษ์ และสัตว์ทั้งปวง

กล่าวฝ่ายอสุรินทราหู เมื่อได้สดับพระเกียรติศัพท์ ของพระบรมศาสดา ก็มีจิตปรารถนาที่จะได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดาบ้าง
แต่ด้วยกายของตนใหญ่โตเท่ากับโลก จึงคิดดูแคลนพระบรมศาสดาว่า มีพระวรกายเล็กดังมด
จึงอดใจรั้งรออยู่ พอนานวันเข้าพระเกียรติคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ยิ่งขจรขจายไปทั้งสามโลก
จนทำให้อสุรินทราหูอดรนทนอยู่มิได้
จึงเหาะมาในอากาศตั้งใจว่าจะร่ายเวทย่อกาย เพื่อเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าขอฟังธรรม
แต่พอมาถึงที่ประทับ อสุรินทราหู กลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่า เพื่อจะได้ทัศนาพระพักตร์พระบรมศาสดา
พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงพระสัทธรรม ชำระจิตอันหยาบกระด้างของ อสุรินทราหู ให้มีความเลื่อมใสศรัทธา แสดงตนเป็นอุบาสกผู้ถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต
แล้วกล่าวสรรเสริญพระบรมศาสดาว่า "ตัสสะ"

๒ “ตัสสะ” แปลว่า ขอบูชา ขอนอบน้อม ขอนมัสการ

เมื่อครั้งที่ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง๔ ผู้ดูแลปกครอง สวรรค์ชั้นแรก มีชื่อเรียกว่า ชั้นกามาวจร
มีหน้าที่ปกครองดูแลประตูสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ
พร้อมบริวาร ได้พากันเข้ามาเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วทูลถามปัญหา
พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมตอบปัญหา แก่มหาราชทั้งสี่พร้อมบริวาร จนยังให้เกิดธรรมจักษุแก่มหาราชทั้งสี่ และบริวารท่านทั้ง ๔ นั้น
จึงเปล่งคำบูชาสาธุขึ้นว่า “ภะคะวะโต”

๓."ภะคะวะโต”
แปลว่า พระผู้มีพระภาค ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมอันยิ่ง อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า

๔."อะระหะโต"
เป็นคำกล่าวสรรเสริญของ ท้าวสักกะเทวราช เจ้าสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ท่านสถิตอยู่
ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ท้าวสักกะเทวราช ได้ทูลถามปัญหาแด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงตรัสปริยายธรรม และทรงตอบปัญหา จนทำให้ท้าวสักกะเทวราชได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็น พระโสดาปัตติผล
จึงเปล่งอุทานคำบูชาขึ้นว่า "อะระหะโต" แปล
เป็นใจความว่า อรหันต์ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไกลจากเครื่องข้องทั้งปวง

๕. "สัมมาสัมพุทธัสสะ" เป็นคำกล่าวยกย่องสรรเสริญของ ท้าวมหาพรหม หลังจากได้ฟังธรรม จนบังเกิดธรรมจักษุ
จึงเปล่งคำสาธุการ "สัมมาสัมพุทธัสสะ" หมายถึง
ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยพระองค์เอง ทรงรู้ดี รู้จริง รู้ยิ่ง กว่าผู้รู้อื่นใด

รวมเป็นบทเดียวว่า "#นะโม #ตัสสะ #ภะคะวะโต #อะระหะโต #สัมมาสัมพุทธัสสะ"
.
แปลโดยรวมว่า
ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น
.
ด้วยเหตุนี้โบราณท่านจึงว่า หากขึ้นต้นคาถาหรือบทสวดมนต์ใดๆ ด้วยการ ตั้งนะโม ๓ จบ คาถานั้นจะมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักด้วย
.
เพราะเป็น คำสรรเสริญพระพุทธเจ้า ที่มีเทพพรหมชั้นหัวหน้าได้กล่าวไว้ แรงครูหรือแรงแห่งเทพ-พรหม และแรงพระรัตนตรัยท่านจึงประสิทธิ์ให้สมประสงค์
เริ่มต้นตั้งจิต อย่างไร
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งอาณาจักรอยุธยา
    สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชสมภพที่ทุ่งพระอุทัย หรือในปัจจุบันเรียกว่า ทุ่งหันตรา โดยเมื่อครั้งสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จะยกกองทัพลงไปตีเมืองพระนครหลวง (นครธม) นั้น ได้รวมพลและตั้งพลับพลาเพื่อประกอบพิธีกรรมตัดไม้ข่มนามที่ทุ่งพระอุทัย ขณะนั้นพระอัครชายาซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 2 กษัตริย์แห่งพระราชวงศ์พระร่วง กำลังทรงพระครรภ์อยู่ ได้ออกไปส่งเสด็จ ได้ประสูติสมเด็จพระบรมไตรนาถที่พลับพลานั้น เมื่อปีกุน จุลศักราช 797 พ.ศ. 1974 ซึ่งในยวนพ่ายโคลงดั้น ระบุว่า แถลงปางพระมาตรไท้ สมภพ ท่านนา แดนด่ำบลพระอุทัย ทุ่งกว้าง
    ทรงเจริญพระชันษาที่เมืองพิษณุโลก พระองค์ทรงครองราชย์ 40 ปีเป็นเวลานานที่สุดในบรรดาพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ แห่งอาณากรุงศรีอยุธยา โดยเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และก็ยังเป็นพระนัดดาในสมเด็จพระอินทราชา มีพระราชมารดาเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง พระนามมีความหมายถึง "พระพุทธเจ้า" หรือ "พระอิศวร" มีผู้ที่เข้าใจว่าคงเป็นพระสหายมาตั้งแต่วัยเยาว์ชื่อ "ยุทธิษเฐียร" (ซึ่งตอนหลังกลายมาเป็นผู้ชักนำพระยายุทธิษฐิระ หรือ พระยายุทธิษเฐียร ทรงเป็นเจ้านายเชื้อสายราชวงศ์พระร่วง เป็นพระร่วงเจ้าสุโขทัยในปี พ.ศ. 2011 จนกระทั่งอาณาจักรล้านนาเสียดินแดนอาณาจักรสุโขทัยแก่อาณาจักรอยุธยาใน พ.ศ. 2017 นอกจากนี้ พระเจ้าติโลกราชยังทรงแต่งตั้งให้พระยายุทธิษฐิระ เป็นเจ้าเมืองพะเยา)และดูแลหัวเมืองล้านนาตะวันออกตอนล่าง จนถูกปลดในปี พ.ศ. 2022
       สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีลูกยาเธอที่ปรากฏพระนาม 3 พระองค์ ไม่ปรากฏพระนามพระองค์ 1 ที่ปรากฏพระนามนั้นคือ  พระบรมราชา ซึ่งพระราชทานอภิเษกให้อยู่ครองกรุงศรีอยุธยา เมื่อเสด็จขึ้นไปครองราชสมบัติอยู่ ณ เมืองพิษุโลก พระบรมราชานี้ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินครองราชสมบัติต่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมาอีก 3 ปี จึงสวรรคต แต่หนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขานี้ เรียกพระนาม(โดยสำคัญผิดพระองค์)ว่า สมเด็จพระอินทราชาธิราช  พระอินทราชา ปรากฏพระนามเมื่อไปรบศึกเชียงใหม่ ต้องปืนที่พระพักตร์ครั้งรบกับหมื่นนคร เห็นจะสิ้นพระชนม์ในคราวนั้น ด้วยไม่ปรากฏพระนามต่อมาอีก พระเชษฐา ที่ได้เสวยราชย์เป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สมภพที่เมืองพิษณุโลก ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ฝ่ายพระชนนีจะเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้ากรุงสุโขทัยแต่ก่อนมา ที่ไม่ปรากฏพระนามนั้น คือลูกเธอพระองค์หนึ่งซึ่งกล่าวในหนังสือยวนพ่ายว่า เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะทรงผนวช รับสั่งให้ลูกเธอพระองค์นี้เสด็จไปนิมนต์พระสงฆ์ในเมืองลังกาเข้ามานั่งหัตถบาต ลูกเธอองค์นี้จะเป็นพระองค์ใดใน 3 พระองค์ที่กล่าวแล้วไม่ได้ จึงเห็นว่าจะเป็นอีกพระองค์หนึ่งต่างหาก
     ศึกเข้ามา หลังการขึ้นครองราชย์แล้ว ก็เสด็จมาประทับที่อยุธยาในช่วงแรกของการครองราชย์ อีกครึ่งหนึ่งเสด็จมาประทับที่พิษณุโลก เชื่อว่าคงเป็นไปเพื่อการควบคุมดูแลหัวเมืองทางด้านเหนือ และคานอำนาจของอาณาจักรทางเหนือ คือ อาณาจักรล้านนา ซึ่งกำลังมีความเข้มแข็งและต้องการแผ่อำนาจลงมาทางใต้ ในยุคของพระเจ้าติโลกราชพระมหากษัตริย์ล้านนาแห่งราชวงศ์มังรายพระองค์ที่ 9 ครองราชย์ พ.ศ. 1985–2030 พระนามเดิมคือ "เจ้าลก" เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์ที่ 6 ในพญาสามฝั่งแกน (ลก ในภาษาไทเดิม มีความหมายว่า ลำดับที่ 6) ร่วมรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา
       ***เรื่องรบกับเชียงใหม่
(จากโพสต์ที่แล้วมีท่านผู้อ่านเข้ามาคอมเม้นว่า”สมัยเจ้าสามพระยากรุงอโยธยาเป็นฝ่ายรุกรานล้านนาถึง2ครั้ง​ กวาดต้อนไพร่ราษฎรมาได้เป็นจำน​วน​ แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็แสดงว่าแสนยานุภาพนั้นเหนือกว่า​   แต่พอมาสมัยบรมไตรนาฤเหตุใดล้านนาจึงขึ้นมีแสนยานุภาพเทียบเท่าและเป็นฝ่ายรุกรานเข้าตีหัวเมืองเหนือกวาดต้อนไพร่ราษฎรขึ้นไป​ได้ แม้อโยธยาจะรุกไล่ตีโต้กลับแต่ก็ไม่สามารถเอาชนะศึกได้​(สงบศึกเสียก่อน)​ หรือว่ามีเจ้าฝ่ายเหนือนำกำลังขึ้นไปร่วมกับทัพล้านนา”
    ***การสงครามที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทำกับเชียงใหม่นั้น ผิดกับสงครามในรัชกาลก่อนๆ นับตั้งแต่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ มา แต่ก่อนเป็นแต่ยกไปรบเมืองอื่นฝ่ายเดียว แต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้ เกิดพระเจ้าติโลกราช คือ ท้าวลก เป็นพระเจ้าแผ่นดินมีอานุภาพมากขึ้นในเมืองเชียงใหม่ เมืองเชียงใหม่กำเริบลงมาเบียดเบียนอาณาเขตกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถต้องทำสงครามป้องกันพระราชอาณาเขต ไม่ให้เสียไปแก่เชียงใหม่ จึงเป็นการลำบากกว่าสงครามในรัชกาลก่อนๆ
       ***ถวายวังเป็นวัด
     หนังสือพระราชพงศาวดารว่า เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้เสวยราชย์ครองกรุงศรีอยุธยา ทรงอุทิศที่พระราชวังเดิมในกรุงศรีอยุธยาสร้างเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ ย้ายพระราชวังลงมาตั้งข้างริมน้ำ การอุทิศพระราชวังถวายเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์ครั้งนั้น ไม่ใช่ต้องย้ายวังไปสร้างที่อื่น อย่างหนังสือพระราชพงศาวดารชวนจะให้เข้าใจ ใครได้ไปดูท้องที่แล้วจะเห็นได้ว่าที่จริงเพียงกันเขตพระราชวังส่วนหนึ่งสร้างขึ้นเป็นวัด เป็นวัดอยู่ในกำแพงพระราชวัง อย่างวัดพระศรีรัตนศาสดารามในกรุงเทพฯนี้เอง
     สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2031 เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงครองราชย์ได้ 40 ปี ยาวนานที่สุดของอาณาจักรอยุธยา และเป็นลำดับ 3 ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระองค์ประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาประมาณ 20 ปี ที่เหลือทรงประทับที่เมืองพิษณุโลกตลอดรัชกาล
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พระพุทธนฤมิตร

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.


พระพุทธ​นฤมิตร
วัดอรุณ​ราช​วรา​ราม
พระพุทธ​นฤมิตร​ เป็นพระพุทธรูป​ฉลองพระองค์​ พระบาทสมเด็จ​พระ​พุทธ​เลิศ​หล้า​นภาลัย
ในรัชกาลที่​ 1​ พระ​บาท​สมเด็จ​พระ​พุทธ​ยอด​ฟ้า​จุฬา​โลก​มหาราช​ ทรงสร้างพระพุทธ​รูปสัมฤทธิ์​หุ้มทองคํา​ เป็นพระยืนสูง​ 2.14  เมตรปางห้ามสมุทร​ทรงเครื่องอย่างพระเจ้าจักร​พรร​ดิ์​ 2 องค์​ องค์​หนึ่ง​ถวายพระนามว่า​ "พระพุทธ​จุลจักร" อุทิศถวายพระบรมชนกนาถคือ​ สมเด็จ​พระ​ปฐม​บรม​มหา​ชนก​ อีกองค์​หนึ่งถวายพระนามว่า​ "พระพุทธ​จักรพรรดิ์" ทรงสร้างเป็นพระราชกุศลส่วนพระองค์​ พระพุทธ​รูป​ 2​ องค์​นี้ประดิษฐาน​ในหอพระสุราลัยพิมาน​ ในหมู่พระมหามณเฑียร​ พระบรมมหาราชวัง
ถึงรัชกาลที่​ 3​ พระบาทสมเด็จ​พระ​นั่ง​เกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ก็ทรงดำเนินรอยตาม​ โปรดให้หล่อพระพุทธ​รูป​ทรงเครื่องพระเจ้าจักร​พรร​ดิ์​หุ้มทองคำ​ 2​ องค์​ องค์​หนึ่งอุทิศ​ถวายสมเด็จ​พระ​บรมชนกนาถคือพระบาทสมเด็จ​พระ​พุทธ​เลิศ​หล้า​นภาลัย​ ถวายพระนามว่า​ "พระพุทธ​นฤมิต​ร" อีกองค์​หนึ่งเป็นพระราชกุศล​ส่วนพระองค์​ ถวายพระนามว่า​ "พระพุทธ​รังสฤษดิ์" ประดิษฐาน​อยู่ในหอพระสุราลัย​พิมาน​เช่นเดียวกัน
ครั้นถึงรัชกาลที่​ 4​ พระบาทสมเด็จ​พระ​จอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ทรงพระราชดำริให้ถ่ายแบบพระพุทธ​นฤมิตร​ หล่อสัมฤทธิ์​ มาประดิษฐาน​ในบุษบกยอดปรางค์​ มุขหน้าพระอุโบสถ​วัดอรุณ​ราช​วรา​ราม​ แต่ยังไม่ทันเสร็จ​ก็สวรรคต​เสียก่อน
ต่อมาในรัชกาลที่​ 5​ พระบาท​สมเด็จ​พระ​จุล​จอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​โปรดให้สร้างบุษบก​และหล่อพระให้เสร็จทันวันที่ทรงครองสิริราชสมบัติ​ครบ​ 5,431วัน​ เท่าวันดำรงราชสมบัติพระบาท​สมเด็จ​พระ​พุทธ​เลิศ​หล้า​นภาลัย​ สมเด็จ​พระบรมไอยกาธิราช​ ทรงถวายพระนามพระพุทธ​รูป​ตามพระนามเดิมว่า​ "พระ​พุทธ​นฤมิต​ร" อัญเชิญ​มาประดิษฐาน​ใน​บุษบก​หน้าพระอุโบสถ​วัดอรุณ​ราช​วรา​ราม​ ในวันที่​ 15​ สิงหาคม​ 2426 อันเป็นวันที่พระบาทสมเด็จ​พระ​จุล​จอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ทรง​ครอง​สิริ​ราชสมบัติ​นานเท่าพระบาทสมเด็จ​พระ​พุทธ​เลิศ​หล้า​นภาลัย​ โปรดให้ทำจารึก​ประวัติ​พระพุทธ​นฤมิต​รนี้ที่ฐานพระ​พุทธ​รูป​ และมีมหกรรม​ฉลอง
อนึ่ง​ เนื่องในวโรกาส​รัชกาลที่​ 5​ ทรงครองสิริราชสมบัติ​เท่ารัชกาลที่​ 2​ พระบรมวงศานุวงศ์​ได้ร่วมบริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียนถวาย​ ทรงพระราชทานนามว่า​ โรงเรียนทวีธาภิเษก
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


พระวังคีสะเถระ

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

พระวังคีสเถระ
เอตทัคคะในทางผู้มีปฏิภาณ
พระวังคีสะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ นครสาวัตถี ได้รับการศึกษาจบไตรเพท จนมี
ความชำนาญเป็นที่พอใจของอาจารย์ จึงให้เรียนมนต์พิเศษอีกอย่างหนึ่งชื่อว่า “ฉวสีสมนต์”
ซึ่งเป็นมนต์เครื่องพิสูจน์ศีรษะซากศพมนุษย์แม้จะตายไปแล้วถึง ๓๐ ปี โดยใช้นิ้วเคาะหรือดีดที่
หัวของศพ หรือกะโหลก ก็จะรู้ว่าเจ้าของศีรษะหรือกะโหลกนั้น ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไร เกิดที่
ไหน ท่านมีความเชี่ยวชาญในมนต์นี้มาก จึงได้อาศัยมนต์นี้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต และเริ่มมีชื่อ
เสียงเลื่องลือมากขึ้น
รับจ้างดีดกะโหลก
ต่อมาเขาได้ตั้งเป็นคณะมีผู้ร่วมงานทำกันเป็นระบบ มีการโฆษณาชักชวนให้คนมาใช้
บริการ และตระเวนทั่วไปตามเมืองต่าง ๆ
ด้วยวิธีการอย่างนี้ประชาชนได้นำหัวกะโหลกของญาติที่ตายไปแล้วมาให้พิสูจน์กันมาก
มาย ชาวคณะของวังคีสะได้รับสิ่งตอบแทนมากขึ้น ซึ่งมีทั้งสิ่งของ อาหาร และเงินจำนวนมาก
ทำให้มีฐานะร่ำรวยขึ้น พวกเขาได้ท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วย้อนกลับมายังเมืองสาวัตถี
พักอยู่ในที่ไม่ไกลจากประตูพระเชตะวันมหาวิหารมากนัก ได้เห็นประชาชนถือดอกไม้และ
เครื่องสักการะไปยังวัดพระเชตวัน จึงถามว่า “ท่านทั้งหลาย จะไปไหนกัน ?”
“พวกเรา จะไปฟังเทศน์ที่วัดพระเชตวัน” พุทธบริษัทตอบ
“ท่านทั้งหลาย มาหาวังคีสะดีกว่า เพราะท่านสามารถรู้ว่าคนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็น
อะไร ไปเกิดที่ไหน” พวกคณะของวังคีสะชักชวน
“ในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดจะรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าของพวกเราได้หรอก” พุทธบริษัทแย้งขึ้น
การโต้ตอบกลายเป็นการโต้เถียงเริ่มรุนแรงขึ้น ไม่เป็นที่ยุติ กลุ่มของวังคีสะ จึงตามไป
ที่พระเชตะวันมหาวิหารเพื่อพิสูจน์ความสามารถว่าใครจะเหนือกว่ากันพระพุทธองค์ทรงทราบ
วัตถุประสงค์ของกลุ่มวังคีสะได้ดี จึงรับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมา ๕ กะโหลก คือ:-
๑. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในนรก
๒. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดในสวรรค์
๓. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
๔. กะโหลกคนที่ตายไปเกิดเป็นมนุษย์
๕. กะโหลกของพระอรหันต์
เมื่อได้กะโหลกศีรษะมาครบแล้ว ได้มอบให้วังคีสะตรวจสอบดูว่าเจ้าของกะโหลกเหล่า
นั้นไปเกิดที่ไหน
วังคีสะ เคาะกะโหลกเหล่านั้นมาตามลำดับ และทราบสถานที่ไปเกิดถูกต้องทั้ง
๔ กะโหลก แต่พอมาถึงกะโหลกสุดท้าย ซึ่งเป็นกะโหลกของพระอรหันต์ไม่สามารถจะทราบ
ได้ ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของกะโหลกว่าไปเกิดที่ไหน จึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พระพุทธองค์จึงตรัส
ถามว่า:-
“วังคีสะ เธอไม่รู้หรือ ?”
“ข้าพระพุทธเจ้า ไม่รู้ พระเจ้าข้า”
“วังคีสะ ตถาคตรู้”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทราบด้วยมนต์อะไร พระเจ้าข้า”
“ด้วยกำลังมนต์ของตถาคตเอง”
บวชเพื่อเรียนมนต์
ลำดับนั้น วังคีสะ ได้กราบทูลขอเรียนมนต์นั้นจากพระบรมศาสดา ซึ่งพระพุทธองค์ก็
ทรงรับจะสอนมนต์นั้นให้ แต่มีข้อแม้ว่าผู้เรียนจะต้องบวช จึงจะสอนให้ วังคีสะ คิดว่า ถ้าเรียน
มนต์นี้จบก็จะไม่มีผู้เทียมได้เลย จะเป็นประโยชน์แก่อาชีพของตนเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกให้
พราหมณ์ร่วมคณะเหล่านั้นรอยู่สัก ๒-๓ วัน เมื่อบวชเรียนมนต์จบแล้วก็จะสึกออกไปร่วมคณะ
กันต่อไป
เมื่อวังคีสะบวชแล้ว พระบรมศาสดาประทานพระกรรมฐาน มีอาการ ๓๒ เป็นอารมณ์
รับสั่งให้สาธยายท่องบริกรรม พร้อมทั้งพิจารณาไปด้วยฝ่ายพราหมณ์ที่คอยอยู่ก็มาถามเป็นระยะ
ๆ ว่าเรียนมนต์จบหรือยัง วังคีสะ ก็ตอบว่ากำลังเรียนอยู่ โดยเวลาล่วงไปไม่นานนัก ท่านก็ได้
บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่
หวนกลับสึกออกมาประกอบอาชีพฆราวาสเช่นเดิมอีกแล้ว จึงได้แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัยของ
ตน ๆ
ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ
พระวังคีสะ เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วได้เป็นกำลังช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา
และเมื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคครั้งใด ก็จะกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณบทหนึ่งอยู่เสมอด้วยเหตุ
นี้ พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง
ผู้มีปฏิภาณ คือ ความสามารถในการผูกบทกวีคาถา
ท่านดำรงอายุสังขาร สมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.....
เครดิต ;
84000.org
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


มาฆบุรณมี

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

"มาฆะ" เป็นชื่อของเดือน ๓ มาฆบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า"มาฆบุรณมี" แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญ เดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือน อธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา คือวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพุทธศาสนา ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต" และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฎิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป

โอวาทปาฏิโมกข์

โอวาทปาฏิโมกข์ - หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),

คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)

สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ

ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ

อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ

แปล :

การไม่ทำความชั่วทั้งปวง, การบำเพ็ญแต่ความดี, การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง,

พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม,

ผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,

ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

การไม่กล่าวร้าย, การไม่ทำร้าย, ความสำรวมในปาฏิโมกข์,

ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร, ที่นั่งนอนอันสงัด, ความเพียรในอธิจิต นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า
"ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส"

คำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" แยกศัพท์ได้ดังนี้ คือ "จาตุร" แปลว่า ๔ "องค์" แปลว่า ส่วน "สันนิบาต" แปลว่า ประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ ๔" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ
๑. เป็นวันที่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหารในกรุงราชคฤห์ โดยมิได้นัดหมาย
๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจาก พระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผุ้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุก ๆองค์
๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


เจ้าสามพระยา

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

พระบรมราชาที่ 2 (เจ้าสามพระยา)
ราชวงศ์ : สุพรรณภูมิ ปีที่ครองราชย์ : พ.ศ.1967-1991 พระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา เป็นกษัตริย์องค์ที่ 7 ทรงเป็นโอรสของพระนครอินทร์ เจ้าสามพระยาทรงเป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ไทยว่า ทรงดำเนินนโยบายในการขยายอำนาจของอยุธยาของทั้งราชวงศ์อู่ทองและราชวงศ์สุพรรณภูมิ โดยแผ่ขยายอำนาจของไทยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัมพูชาและที่ราบสูงโคราช และทรงปูทางในการผนวกอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอยุธยา(พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถในการปกครอง และการรบ ดังจะเห็นได้จากกรณีการตีอาณาจักรล้านนาและประเทศกัมพูชา นับเป็นการขยายพระราชอาณาเขตของ อาณาจักรอยุธยาตอนต้นอย่างเป็นรูปธรรม)ในสมัยของพระนครอินทร์นั้น พระองค์ได้ส่งพระโอรสไปครองเมืองต่างๆรอบอาณาจักรอยุธยาคือ เจ้าอ้าย โอรสองค์โตไปครองสุพรรณบุรี เจ้ายี่ โอรสองค์รองไปครองสวรรค์บุรี และเจ้าสามพระยาไปครองชัยนาท เมื่อพระนครอินทร์สวรรคต โอรสทั้งสามก็แย่งราชสมบัติกัน โดยเจ้าอ้ายและเจ้ายี่ทำการชนช้างและสิ้นพระชนม์ทั้งคู่ตรงบริเวณที่เรียกว่าสะพานถ่าน ด้านหน้าของวัดราชบูรณะและวัดมหาธาตุที่อยุธยา เจ้าสามพระยาจึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 2
    ในสมัยของเจ้าสามพระยา พระองค์ได้ยกทัพไปตีกัมพูชา และยึดเมืองพระนครหลวง (นครธม) หรือกรุงศรียโสธรปุระ นับว่าเมืองหลวงของกัมพูชาต้องเสียแก่อยุธยาถึงสามครั้ง ครั้งแรกในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ครั้งที่สองในสมัยพระราเมศวร การเสียเมืองพระนครครั้งนี้ทำให้อาณาจักรกัมพูชาได้ย้ายไปสร้างเมืองใหม่ที่เมืองปาสานและเมืองพนมเปญ ทั้งนี้เพื่อให้อยู่ห่างจากการโจมตีของกรุงศรีอยุธยา เมืองพระนครถูกทอดทิ้งให้เป็นเมืองร้างตั้งแต่นั้นมา ได้ยึดเมืองพระนครได้นั้นก็มีผลกระทบต่ออยุธยาอย่างสูง เพราะได้มีการจับขุนนางเขมร ประชาชน ตลอดจนการยึดทรัพย์สินรูปปั้นรูปหล่อทางศาสนาเข้ามาอยุธยา ทำให้อิทธิพลของเขมรด้านการปกครอง ประเพณี ตลอดจนงานศิลปะมาปรากฏชัดในอยุธยา นักประวัติศาสตร์บางท่านตีความว่าอิทธิพลของเขมรในราชสำนักอยุธยา เช่นเรื่องลัทธิเทวนิยม พิธีเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ราชาศัพท์ (ซึ่งเต็มไปด้วยภาษาเขมรนั้น) เป็นผลอันเนื่องมาจากสงครามทั้งสามครั้งในตอนต้นอยุธยานี้เอง แต่ก็น่าเชื่อว่าอิทธิพลเขมรนั้นมีอยู่ในตอนกลางของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้วัฒนธรรมของอยุธยาแตกต่างกับกลุ่มไทยอื่นๆในการแผ่ขยายอำนาจของอยุธยาในช่วงต้นนี้ จะเป็นการใช้กำลังทหารทำสงคราม และใช้วิธีการแต่งงานเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ดังนั้นมเหสีของพระเจ้าสามพระยาองค์หนึ่งก็คงจะเป็นเจ้าหญิงจากราชวงศ์สุโขทัย ทำให้พระองค์สามารถส่งโอรสคือ พระราเมศวร เป็น พระบรมไตรโลกนาถ ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก
    เจ้าสามพระยาสวรรคตในขณะที่พยายามขยายอำนาจขึ้นไปยังเชียงใหม่ ในปลายสมัยของพระองค์ได้ยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ 2 ครั้ง กวาดต้อนประชาชนของล้านนาลงมาถึง 120,000 คน แต่ก็ไม่สามารถพิชิตเมืองเชียงใหม่ได้
เครดิต ;
http://www.oceansmile.com
และ www.wikipedia.org
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

กรวดน้ำทำไม?

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

กรวดน้ำทำไม?  แล้วใครได้บุญ?
      เรื่องมีอยู่ว่า... ในอดีตพระราชาได้มอบหมายให้นายเสมียนทำหน้าที่เตรียมถวายมหาสังฆทานแด่พระสงฆ์โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข
     แต่นายเสมียนและหมู่ญาติ ได้ แอบกินอาหารก่อนที่จะนำไปถวายสงฆ์ ทำให้ตายแล้วตกนรก เมื่อพ้นจากนรกก็มาเกิดเป็น เปรต รอคอยญาติอุทิศส่วนกุศลไปให้ แต่ก็ไม่ได้สักที... จนมาถึงในสมัยพุทธกาลของเรา พวกเปรตได้มาปรากฏกายให้ พระเจ้าพิมพิสาร เห็น และพากันส่งเสียงร้องโหยหวนในพระราชนิเวศน์
     พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จไปทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทราบว่าเป็นเปรตญาติมาขอส่วนบุญ จึงได้ถวายภัตตาหาร ผ้าไตรจีวรและไทยธรรมทุกอย่าง #อุทิศส่วนกุศลให้หมู่ญาติว่า
“ อิทัง  โน  ญาตีนัง  โหตุ “
     เปรตเหล่านี้จึงได้รับกุศลผลบุญกันทั่วหน้า  และพ้นจากความทุกข์ทรมานที่ได้รับอยู่
     จะเห็นได้ว่า ชีวิตหลังความตาย ไม่มีการทำมาหากิน ไม่มีการประกอบอาชีพ มีแต่ บุญเท่านั้นที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำว่า เมื่อทำบุญแล้วควร    อุ ทิ ศ บุ ญ ใ ห้ กั บ ห มู่ ญ า ติ ผู้ ล่ ว ง ลั บ ไ ป แ ล้ ว ด้ ว ย   ไม่ว่าหมู่ญาติของเราจะอยู่สุขคติภูมิหรือทุขคติภูมิ บุญก็สามารถไปถึง ถ้าอยู่ ทุกขคติภูมิ จากทุกข์มากก็จะทุกข์น้อย จากทุกข์น้อยก็จะพ้นทุกข์ ถ้าอยู่ สุขคติภูมิ จากสุขน้อยก็จะสุขมาก จากสุขมากก็จะสุขมากยิ่งๆขึ้นไป
      เพราะหมู่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว รอคอยลูกหลานอุทิศบุญไปให้และคอยอนุโมทนาบุญกับทุกๆบุญที่เราได้กระทำไว้ดีแล้ว
ที่มา : พระไตรปิฎก ฉบับมหามักกุฎราชวิทยาลัย เล่ม ๓๙ หน้า ๒๗๘
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


วิธีแก้กรรม

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

วิธีลดกรรม45อย่าง
1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือมูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ เดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆ ละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรมอุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆ เดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสม

อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19
กฏแห่งกรรม
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้­ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พระนอนใหญ่

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

พระนอนใหญ่ “จันทราชา” ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ปราสาทบาปวน
ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21  “นักองค์จัน” (Ang Chan I) – “พระญาจันทราชา” (Chan Reachea) หรือ “สมเด็จพระเจ้าบรมราชาที่ 2 - สมเด็จพระบรมราชาองค์บรมบพิตร” ปฐมกษัตริย์อาณาจักรละแวก-ลงแวก (Lovek) (ปัจจุบันคืออำเภอกำปงตระลาจ จังหวัดกำปงชนัง ) ทรงนำกองทัพกลับเข้ามายังเมืองพระนครศรียโสธรปุระที่รกร้าง  ดังจดหมายเหตุของชาวโปรตุเกสชื่อ ดิเอโก เดอ คอโต้ (Diego de Couto) ในปี พ.ศ. 2142 ที่บันทึกเรื่องการพบเมืองพระนครย้อนหลังไปในช่วงปี พ.ศ. 2094 ไว้ว่า         
“...ในขณะที่กษัตริย์แห่งประเทศกัมพูชาได้เสด็จไปล่าช้างเถื่อนในป่าที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นซึ่งมีอยู่ทั่วราชอาณาจักร ทหารของพระองค์ในการหักร้างถางพงได้ค้นพบการก่อสร้างสำคัญซึ่งมีต้นไม้ขึ้นอยู่ภายในทำให้เขาไม่สามารถจะเข้าไปได้ เขาจึงได้นำความขึ้นกราบทูล....
...พระองค์ได้เสด็จไปยังที่นั่น หลังจากได้ทอดพระเนตรเห็นความยาวและความสูงของกำแพงชั้นในแล้ว พระองค์อยากจะเข้าไปสำรวจภายใน จึงมีรับสั่งให้ไพร่พลตัดต้นไม้ กอไม้และพงหญ้าที่รกรุงรัง ทรงประทับค้างแรมอยู่ ณ ริมแม่น้ำอันสวยงาม ในระหว่างการถากถางดำเนินไปอย่างเรียบร้อย โดยอาศัยคนประมาณห้าหรือหกพันคน ทำงานไม่กี่วันจึงแล้วเสร็จ และหลังจากที่ทุกอย่างได้รับการทำความสะอาดอย่างละเอียดแล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้าไปภายใน เมื่อได้ทอดพระเนตรทั่วทั้งหมด พระองค์ทรงตื่นเต้นประทับพระทัยในความยิ่งใหญ่ของการก่อสร้างที่ได้ทรงพบเห็นเหล่านี้...
...และด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้ทรงตัดสินพระทัย ที่จะย้ายราชสำนักของพระองค์มายังเมืองพระนครที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ในทันที....”
----------------------------
*** ในระหว่างปี พ.ศ. 2094 - พ.ศ. 2109 ช่วงที่กรุงศรีอยุธยาติดพันการพระราชสงครามกับอาณาจักรหงสาวดี พระญาจันทราชา-นักองค์จัน ได้ย้ายราชสำนักกลับเข้ามาฟื้นฟูบูรณปฏิสังขรณ์เมืองพระนครครั้งใหญ่ มีการสร้างวัดหลวงในพุทธศาสนาขึ้นใหม่หลายแห่งตามแบบคติอยุธยา แกะสลักภาพนูนต่ำบนผนังระเบียงด้านตะวันออกปีกทิศเหนือ (เรื่องชัยชนะของพระกฤษณะเหนือกองทัพอสูร) และผนังระเบียงทิศเหนือปีกฝั่งตะวันตก (เรื่อง พระกฤษณะกำราบท้าวพาณาสูร) เป็นโครงภาพทิ้งค้างไว้ที่ปราสาทนครวัดขึ้นใหม่ ระบุในจารึกว่าสลักในปี พ.ศ. 2101 และ พ.ศ. 2106
ราชสำนักเมืองละแวก ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงปราสาทใหญ่หลายแห่งให้กลายเป็นวัดในพุทธศาสนาเถรวาท (Theravāda) ดังจารึก K.1006 อักษรเขมร ภาษาไทย พบที่เขาพนมกุเลน จารขึ้นในปี พ.ศ. 2126 รวมถึงจารึกภาษาเขมร K.285 และ K.465 ได้กล่าวถึงสมเด็จพระราชมุนีที่มาจากกรุงศรีอยุธยา ได้เดินทางมายังเขาพนมพระราชทรัพย์ พนมบาแค็ง (ปราสาทพนมบาแค็ง) และเรียกปราสาทนครวัดว่า “วัดพระเชตุพน”
ซึ่งในสมัยพระญาจันทราชานี้ คงได้มีการสร้างพระนอนไสยาสน์ ปางมหาปรินิพพาน-นิรวาณ (Mahaparinirvana-Nirvana) ขนาดใหญ่ ขึ้นที่ด้านหลัง ฝั่งตะวันตกของปราสาทบาปวนที่ตั้งอยู่ใกล้กับปราสาทบายน ทางทิศใต้ของพระราชวังหลวง โดยได้มีร่องรอยการรื้อหินโครงสร้างเดิมของปราสาท บาปวนหลังเดิมมาใช้ ทำให้สิ่งก่อสร้างประกอบทั้งโคปุระ บรรณาลัย ระเบียงคดด้านหลังและด้านข้างเดิม รวมทั้งส่วนยอดปราสาทถูกรื้อหายไปทั้งหมด
พระนอนไสยาสน์ใหญ่มีความสูงประมาณ 9 เมตร ยาวประมาณ 70 เมตร (ฐานปราสาท 60 เมตร) นอนตะแคงขวา หันหน้าไปทางตะวันตก หันพระเศียรไปทางทิศเหนือตามคติ “การเสด็จสู่มหาปรินิพพาน” เรียงหินบนฐานชั้นแรกของฐานพีรามิด ปะกบติดกับโคปุระและระเบียงคดของชั้นสองเดิม ใช้อาคารระเบียงคดเป็นผนังค้ำยันด้านหลังหินที่ก่อเรียงขึ้นเป็นแนวยาว ใต้พระเศียรก่อหินยื่นออกมาเตรียมสกัดเป็นส่วนพระกรข้างขวาแบบวางราบหักพระกโบระ (ข้อศอก) ให้พระหัตถ์ขวาไปรองอยู่ใต้พระเศียร มีการก่อเสริมหินยื่นออกมาด้านหน้าฐานปราสาทเดิมตรงกับหน้าพระเศียรเพื่อเป็นฐานรองรับน้ำหนักหินส่วนพระเศียร
ในระหว่างการเรียงก่อหินเป็นโครงร่างขนาดใหญ่ ได้เริ่มมีการสลักส่วนพระพักตร์ขึ้นก่อนเป็นจุดแรก ทำขอบไรพระศก พระขนง พระเนตร พระนาสิก พระโอษฐ์หนา สกัดหินส่วนพระหนุ (คาง) และพระศอ (คอ) เป็นแนวโค้งลึกเข้าไป
แต่การก่อสร้างและการแกะสลักก็ได้หยุดลงอย่างกะทันหัน หินก่อเป็นโครงโกลนพระนอนขนาดใหญ่ถูกทิ้งคาไว้ ไม่มีการแกะสลักต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะมาจากการสวรรคตของพระญาจันทราชา และอำนาจที่เสื่อมถอยของอาณาจักรละแวกจากการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระโอรสและพระอนุชาในเวลาต่อมา
ด้วยเพราะน้ำหนักหินก่อพระนอนใหญ่ที่มีมากเกินไปกับโครงสร้างแกนภายในปราสาทบาปวน ที่เป็นเพียงทรายกรวดอัด ทั้งยังไม่มีแรงงานจากราชสำนักมาก่อสร้างต่อหรือมาดูแลรักษา พระนอนใหญ่คงได้เริ่มพังทลายลงมาตั้งแต่ช่วงภายหลังการเสียกรุงละแวกแก่อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระบรมรามาธิราชธิบดี (นักพระสัตถา) ช่วงปี พ.ศ. 2136  และได้ถูกลืมเลือนไป ไม่ได้ถูกกล่าวถึงอีกเลย
-----------------------------
*** ในยุคการปกครองของฝรั่งเศส (พ.ศ.2406-2496)  สำนักฝรั่งเศสปลายบุรพทิศ (École française d' Extrême-Orient - EFEO)  ได้เริ่มการบูรณะปราสาทบาปวนด้วยวิธีการอนัสติโลซิส  (Anastylosis) แต่ เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในปี พ.ศ. 2513 การบูรณปฏิสังขรณ์จึงได้หยุดลง ต่อมาในปี พ.ศ. 2539 จึงได้เริ่มมีการบูรณะปราสาทบาปวนขึ้นอีกครั้ง โดยการควบคุมของ “ปาสคาล รอแยร์” (Pascal Royère) สถาปนิกจาก EFEO ที่ได้ตัดสินใจ เลือกให้มีการยกหินก่อองค์พระนอนใหญ่ในยุคพระญาจันทราชาขึ้นใหม่อีกครั้ง การบูรณะปราสาทบาปวนอันยาวนานกว่า 51 ปี ได้ยุติลงในเดือนเมษายน พ.ศ. 2554 
ด้วยความยาวกว่า 70 เมตร พระนอนใหญ่จันทราชาที่ปราสาทบาปวน จึงเป็นพระนอนไสยาสน์ปางปรินิพพานในคติเถรวาทจาก “โลกยุคอาณาจักรโบราณ” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกไปโดยปริยาย
เครดิต ; FB
วรณัย  พงศาชลากร
EJeab  Academy
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


ไม้ไผ่และการจักสาน

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

ร่องรอย “ไม้ไผ่และการจักสาน” ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ที่ประตูผา ลำปาง
ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติในเขตร้อนชื้นจะมีพัฒนาการควบคู่กันมากับพันธุ์พืชมหัศจรรย์อย่าง "ไผ่ (Bamboo)" ที่มีอยู่ดาษดื่นตามธรรมชาติ และเจริญพันธุ์อยู่ทั่วภูมิภาคของโลกมากกว่า 1,000 สายพันธุ์ 
ไผ่ เป็นพืชมหัศจรรย์ที่มีความแข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบา มีความทนทานแต่กลับยืดหยุ่นและย่อยสลายได้ง่ายในธรรมชาติ ให้สัมผัสที่ราบเรียบ ตั้งตรงสามารถแปรรูปและประยุกต์มาใช้งานได้ง่าย และยังหาได้ง่ายในป่า
ช่วงเริ่มแรกของการตั้งถิ่นฐานในสังคมเกษตรกรรม (Agricultural Society) สังคมของมนุษย์ได้สร้างความคุ้นเคยกับธรรมชาติรอบตัวด้วยการพึ่งพาอาศัยกันและกัน จนพัฒนาไปสู่การอยู่ร่วมกันในทุกส่วนทางวัฒนธรรม จนเกิดขึ้นเป็นวิถี  "ภูมิปัญญา"  ในวัฒนธรรมโบราณ เพื่อการแปรรูปพืชพันธุ์จากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ สะสมความรู้มาจนเป็นเวลายาวนาน
ร่องรอยหลักฐานทางโบราณบรรพชีวินแสดงให้เห็นว่า มนุษย์โฮโม อิเรคตัส (Homo Erectus ) อันได้แก่ มนุษย์ปักกิ่ง (Paking Man) และมนุษย์ชวา (Java Man) ในเอเชียนั้น ได้ใช้ประโยชน์จากป่าดิบอันอุดมสมบูรณ์ของเส้นศูนย์สูตร อันมีพันธุ์ไม้ไผ่และไม้เถายาว (อย่าง หวาย – Rattan) นานาชนิดอยู่อย่างหนาแน่นยาวนานกว่า 8 แสนปีมาแล้ว
ในช่วงเวลาเริ่มแรกของวัฒนธรรม สังคมของมนุษย์ยังไม่มีความสามารถในการแปรรูปโดย "การจักสาน” (Wickering) พืชพันธุ์ในธรรมชาติ  แต่ในช่วงเวลาต่อมาไม่นานนัก นักมานุษยวิทยาเชื่อว่าในยุคน้ำแข็ง "ไพลสโตซีน" ที่มีเวลาในช่วง 5 แสนปีจนถึง  10,000 ปีที่แล้วนั้น มนุษย์ได้เริ่มมีพัฒนาการเริ่มต้นอย่างหยาบ ๆ ในการแปรรูปจักสานพันธุ์ไผ่ หวายและไม้เถาต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ก่อนที่จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการทำเครื่องปั้นดินเผา ดังหลักฐานจากอารยธรรมเมโสโปเตเมียของลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส  อายุกว่า 5,000 – 6,000 ปี แสดงให้เห็นร่องรอยของการจักสานเป็นครั้งแรกปรากฏเป็นรอยพิมพ์บนเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเกิดจากการไล้ดินเหนี่ยวลงในเครื่องจักสาน เมื่อดินเหนียวแข็งตัวจากการตากแสงแดดจึงนำไปเผาไฟในอุณหภูมิต่ำ
สำหรับร่องรอยการจักสานตามหลักฐานทางโบราณคดีในประเทศไทย ก็พบร่องรอยการใช้ประโยชน์จากพันธุ์ไม้เขตร้อนนานาชนิดทั่วภูมิภาค มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ราว 6,000 ปีที่ผ่านมา จากร่องรอยการเข้าเดือยของเครื่องมือหินประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะเครื่องมือหินแบบมีบ่า ยึดเข้ากับรูไม้ที่เจาะไว้ (ทั้งทางตรงด้านบน และทางขวาง) ไม้ที่ใช้มีหลายประเภทรวมทั้งไม้ไผ่ และมีการพัฒนาการจักสานหวายหรือไม้เถาพร้อมกับการใช้ยางไม้เพื่อยึดเหนี่ยวเครื่องมือมือกับไม้ด้ามจับให้แข็งแรง
ซึ่งก็ยังพบร่องรอยการใช้ไม้ไผ่เพื่อเป็นเครื่องมือตัดหินทำกำไล โดยปั่นแกนของต้นไผ่ให้หมุนด้วยความเร็ว จนไปกดกัดเซาะหินแผ่นจนเป็นร่องลึก เกิดเป็นรูกลมกำไลทั้งแกนนอกและแกนใน  พบหลักฐานเป็นร่องรอยของหินที่เรียกว่า "แกนกำไล-หินงบน้ำอ้อย" ทั้งที่ทำเสร็จแล้ว และยังไม่ทำไม่เสร็จจำนวนมากในแหล่งโบราณคดีทั่วประเทศ
รวมถึงหลักฐานร่องรอยของรูเสาไม้ไผ่กลวงในแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่พักชั่วคราว หรือเป็นแหล่งฝังศพ เช่นที่พบในแหล่งโบราณคดีหนองแช่เสา จังหวัดราชบุรี
ในช่วง 4,000 ปี นี้ ยังพบเครื่องจักสานลายขัดสอง ในถ้ำแห่งหนึ่งของอำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี แต่อยู่ในสภาพเสียหายมาก ไม่เป็นรูปทรง เพราะสภาพแวดล้อมทางโบราณคดีถูกบุกรุกทำลายไปจนทั้งหมด
-----------------------------------------
***  การใช้ไม้ไผ่และการจักสานในประเทศไทย ปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจนมากขึ้นในช่วง 3,000 ปีที่ผ่านมา เมื่อมีการขุดพบภาชนะดินเผาที่มีร่องรอยการจักสานประทับอยู่บนดินเผา บริเวณภูมิภาคลุ่มน้ำสงคราม อย่างบ้านเชียง อำเภอหนองหาร จังหวัดอุดรธานี ซึ่งปั้นโดยการไล้ดินลงไปในกระบุงจักสานแล้วปั้นปากภาชนะ นำไปเผาด้วยความร้อน ชาวบ้านในปัจจุบันจะเรียกว่าภาชนะดินเผาชนิดนี้ว่า “กระบุงดินเผา”
ในบริเวณที่ราบลอนลูกคลื่นภาคกลางลุ่มน้ำป่าสัก – ตาคลี แถบจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรีของภาคกลาง ก็มีการขุดพบร่องรอยของการจักสานบนภาชนะดินเผาที่มีความละเอียดประณีตมากแล้ว (ลายขัดสอง) อายุกว่า 3,000 - 2,500 ปี จากแหล่งฝังศพก่อนประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก
แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยมีการค้นพบภาชนะจักสานจริง ๆ ที่สมบูรณ์จากการขุดค้นทางวิชาการและลักลอบขุดเพื่อหาสมบัติกันซักที
จนเมื่อมีการค้นพบภาพเขียนสีโบราณโดยบังเอิญบริเวณดอยประตูผา ตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหลังศาลเจ้าพ่อประตูผา ที่มีภาพเขียนสีฝุ่นแดงจากแร่เหล็กอันเก่าแก่ปรากฏชัดอยู่บนผนังเพิงผา แสดงถึงความจงใจและตั้งใจของของผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่วาดรูปในหลายลักษณะ ทั้งรูปมือทั้งที่เอามือจุ่มสีและไปแปะ หรืออมสีพ่นไปบนมือกลายเป็นรูปโครงมือ อีกทั้งยังมีรูป วัว ม้า กวาง สุนัข  สัตว์ป่า คน คนล่าสัตว์ ลวดลายเลขาคณิต เป็นกลุ่ม ๆ  ตลอดความยาวของเพิงผากว่า 130  เมตร ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุประมาณ 3,000 – 4,000 ปี ก่อน
----------------------------------------
*** ในปี พ.ศ. 2541 จึงเริ่มมีการขุดค้นทางโบราณคดีบริเวณช่องเขาประตูผา เผยให้เห็นหลักฐานของวัฒนธรรมไม้ไผ่และการจักสานที่มีอายุยาวนานกว่า 3,000  ปีที่ชัดเจนที่สุดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
การขุดค้นทางวิทยาศาสตร์ได้พบโครงกระดูกของมนุษย์หลายโครงที่มีร่องรอยการปฏิบัติพิธีกรรมหลังความตาย ของสังคมที่เริ่มมีความซับซ้อน มีคติความเชื่อในเรื่องของชีวิตในโลกหน้า เพราะได้พบเครื่องมือเครื่องใช้ฝังรวมอยู่เพื่อเป็นการอุทิศแก่คนตาย ทั้งเสื่อ ตะกร้า เสาไม้ไผ่กลวง ฟากไม้ไผ่ ซองใส่สิ่งของและภาชนะดินเผาลายเกล็ดปลาในหลุมฝังศพ
ตามลักษณะของหลักฐานที่ขุดพบ พออนุมานได้ว่า ในพิธีกรรมฝังศพ ได้มีการขุดหลุมดินไม่ลึกนัก วางฟากไม้ไผ่รองพื้น มีการแต่งตัวให้กับผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมวางของใช้ของผู้ตายทั้งหมวกผ้า หมวกสาน ตะกร้า กระบุง ซองใส่เครื่องมือ เครื่องมือทำจากกระดูกสัตว์ กระดองเต่ากลม ภาชนะดินเผาลายกดประทับมีเขานูนที่ไหล่ เปลือกหอยทะเล  ขวานหินขัด กำไลหิน (หินอ่อน) ลูกปัดหินรูปทรงหลอด (หินโคลน  หินปูน หินชนวน หินเชิร์ต)  นำอาหารมาใส่ในหม้อดินเผาพร้อมกับทัพพีไม้เขียนลวดลายสีแดง (เป็นทัพพีที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยเช่นกัน) ในภาชนะดินเผานั้น เมื่อพูนดินมากลบฝัง จะเป็นเนินฝังศพที่สูงจากพื้นดินเล็กน้อย แล้วสร้างบ้านไม้ไผ่ขนาดเล็กคลุมลงไปบนเนินฝังศพนั้นอีกชั้นหนึ่ง เพื่อเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่มอบให้กับคนที่รัก ที่จากไปสู่ปรภพเป็นนิรันดร
พันธุ์ไผ่ที่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เป็นพันธุ์ไม้พื้นถิ่นที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน ทั้งไผ่ซาง ไผ่บง ไผ่ไร่และไผ่รวก ผู้คนที่นอนทอดกายอยู่ที่ประตูผา จึงเคยเป็นเจ้าของแผ่นดินแถบนี้ในยุคสมัยหนึ่งที่อาจเดินทางไปมาระหว่างภูมิภาคหลายแห่ง ที่มีวัตถุดิบทำขวานหิน หินสบู่ เปลือกหอยทะเล เดินทางขึ้นมาเสียชีวิตจึงได้มาฝังศพไว้บนเพิงผาแห่งนี้
หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมไม้ไผ่และเครื่องจักรสานรวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำมาจากไม้ นานกว่า 3,000 ปีนั้น จึงไม่ย่อยสลายไปหรือเห็นเป็นแค่ซากไม้ไผ่ผุ ๆ พัง ๆ นั่นก็เพราะความโชคดีอย่างที่สุดที่แหล่งโบราณคดีประตูผาอยู่ในตำแหน่งใต้เพิงผาที่ใหญ่และกว้างเป็นหลังคาขนาดใหญ่ป้องกันพายุฝน พื้นดินแถบนี้จึงแห้งแล้ง ส่งผลดีต่อการเก็บรักษาหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญนี้ไว้เป็นอย่างมาก ทั้งยังห่างไกลจากเส้นการเดินทางของผู้คนในอดีต จึงไม่มีการเข้ามาอยู่อาศัยพักพิง ทับซ้อนจนรบกวนหลุมศพเหล่านี้
ร่องรอยเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากไม้ไผ่จักตอกที่พบในหลุมศพโบราณที่ประตูผา จังหวัดลำปางนี้ จึงนับเป็นหลักฐานของการใช้ไม้ไผ่และการจักสานที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดที่พบในประเทศไทย
*** ภาพการขุดค้น : รายงานการขุดค้นศึกษาและคัดลอกภาพเขียนสีแหล่งโบราณคดีประตูผา อ.แม่เมาะ จังหวัดลำปาง กรมศิลปากร 2541
เครดิต ;
วรณัย  พงศาชลากร
EJeab Academy
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

เราคือ “พระโพธิสัตว์” ผู้ปรารถนาความดีงามและความสุขแก่มวลมนุษย์
แต่ในยามศึก เราคือ “อวตารแห่งพระวิษณุ”
ถึงแม้จะปรากฏหลักฐานจำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งจักรวรรดิบายนนั้น จะได้แสดงพระองค์เป็นเสมือนสมมุติเทพในคติพุทธศาสนาวัชรยานตันตระ ผ่านรูปงานศิลปะ ทั้ง “พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร” ธยานิโพธิสัตว์แห่งพระอมิตาภะ “พระมหาโพธิสัตว์สมันทรภัทร – สมันทรมุข” ธยานิโพธิสัตว์แห่งพระไวโรจนะ (ใบหน้าบนยอดปราสาท ประตูโคปุระ) และ พระมานุษิพุทธเจ้า (พระนามมหาบรมสุคตบท และรูปประติมากรรม)
แต่จากภาพสลักนูนต่ำบนผนังกำแพงระเบียงคดที่ปราสาทบันทายฉมาร์ กลับได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของพระองค์กับ “พระวิษณุ” เทพเจ้าในคติความเชื่อฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย (Vaishnavism –Vishnuism) ที่เป็นความนิยมของราชสำนักในช่วงยุคก่อนหน้าพระองค์ไว้อย่างน่าสนใจ
ในโศลกที่ 29 และ 31 ของ “จารึกปราสาทพระขรรค์” (K.908)  ได้เปรียบเทียบระหว่างพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กับ “พระราม” ในมหากาพย์รามายณะไว้ว่า  
“...พระรามและพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ต่างได้ทรงทำงานเพื่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์เป็นผลสำเร็จ ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยที่มีความจงรักภักดีต่อพระบิดาเต็มที่ .....พระองค์แรก (พระราม) ได้ทรงสร้างถนนด้วยหินเพื่อว่าพลวานรบริวารสามารถข้ามมหาสมุทรไปได้ ในขณะที่องค์หลัง (พระเจ้าชัยวรมันที่ 7) ได้สร้างถนนด้วยทองคำ เพื่อทำให้มนุษย์ข้ามห้วงมหรรณพแห่งสังสารวัฏไปได้...”
“...พระรามและองค์ภีษมะยังได้รับการยกย่องสรรเสริญเมื่อพระราชบิดาเสด็จลงมาจากสวรรค์เพียงสั้น ๆ แล้วพระองค์ (พระเจ้าชัยวรมันที่ 7) จะได้รับการสดุดีขนาดไหน ในเมื่อพระโลเกศวรผู้เกิดขึ้นเองและมีสี่พระกร (พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร) ได้รับการถวายสักการบูชามาตลอดกาล...”
เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขึ้นครองราชย์ประมาณปีพ.ศ. 1724 นั้น พระองค์ทรงโปรด ฯ ให้แก้ไขประเพณีการแบ่งชั้นวรรณะ ซึ่งพราหมณ์มหาราชครู (กมรเตง - สเตงอัญ) ในยุคฮินดูไศวะนิกายได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ฉะนั้นตลอดรัชกาลอันยาวนานของพระองค์ ผู้คนในจักรวรรดิใหม่จึงได้มีโอกาส หันมานับถือพระพุทธศาสนาวัชรยานตันตระและเถรวาทจากลังกามากขึ้น แต่กระนั้น พิธีกรรมแบบพราหมณ์หรือฮินดูก็ยังคงมีอิทธิพลในราชสำนักอยู่เช่นเดิม
พระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนามหายาน นิกายวัชรยาน ตามที่ได้มีการค้นพบประติมากรรมและวัด (ราชวิหาร) ในพุทธศาสนาหลายแห่ง แต่พระองค์ก็มิได้ละเลยในการสนับสนุนศาสนาฮินดู โดยเฉพาะในคติไวษณพนิกายตามแบบพระราชบิดา รูปศิลปะทั้งพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระวิษณุและศิวลึงค์ จึงยังคงมีการแกะสลักและได้รับการบูชาเสมอเหมือนกัน
ในรัชกาลของพระองค์วรรณกรรมภาษาสันสกฤตได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จารึกหลายหลักและภาพสลักหลายแห่ง ได้แสดงให้เห็นว่าวรรณกรรมอันเกี่ยวกับเรื่องมหาภารตยุทธและวรรณคดีเรื่องรามายณะ เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย รวมทั้งยังทรงสนับสนุนการศึกษาในราชสำนักและอุทิศราชทรัพย์จำนวนมาก เพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บของราษฎร
----------------------------------
*** ที่ภาพสลักนูนต่ำระเบียงคดด้านหน้าปีกทิศใต้ ปราสาทบันทายฉมาร์ ปรากฏภาพ “ปิ่นปักผม” ประดิษฐ์เป็นรูป “พระวิษณุ 4 กร” บนมวยพระเกศาเฉพาะรูปของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่ไม่มีในรูปของศรีนทรกุมาร พระราชโอรส และจะปรากฏในสถานการณ์การสู้รบในสงครามทั้งทางบกและทางน้ำเท่านั้น แต่ไม่ปรากฏปิ่นรูปพระวิษณุบนพระเกศาภาพสลักที่แสดงว่าอยู่ในยามสงบ
ประกอบกับรูปการเคลื่อนกองทัพเข้าสู่สนามรบบนผนังกำแพงระเบียงคดทิศตะวันตก ฝั่งปีกทิศเหนือ ได้แสดงภาพของขบวนแห่อัญเชิญรูปพระวิษณุที่ประดิษฐานอยู่บนราชยานคานหาม ด้านหน้าราชรถเทียมม้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อย่างชัดเจน
หากมองตามวรรณกรรม “รามายณะ” พระองค์ได้แสดงให้เห็นว่าทรงเป็นเสมือนเช่น “พระราม” ที่อวตารมาจากพระวิษณุ เพื่อลงมาปราบท้าวราวณะ และความชั่วร้ายบนโลก (ตามเรื่องราวในภาพสลักของระเบียงคดใกล้เคียงกัน ที่เรียกกันว่า “ภารตราหู”) ส่วนอาวุธของพระองค์ก็จะแสดงเป็นคันศรและธนู เช่นเดียวกับการใช้ “ศรพรหมมาตร”ของพระราม
ภาพสลักที่ปราสาทบันทายฉมาร์ จึงเป็การเฉลิมพระเกียรติสดุดีพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในครั้งที่ทรงได้รับชัยชนะเหนืออาณาจักรจามปา ในศึกสงครามครั้งสำคัญของอาณาจักร พระองค์จึงเปรียบเสมือนพระราม อวตารแห่งพระวิษณุ เช่นเดียวกับพระรามในวรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ 4 เป็นเสมือนกับ “ราวณะ-ทศกัณฐ์” ที่พ่ายแพ้ (ในโศลกที่ 68 และ 70 ของจารึกปราสาทพิมานอากาศ K.485) สอดรับกับภาพสลักเรือพระที่นั่งในการพระราชสงครามเข้าตีวิชัยนครของพระองค์ ที่สลักหัวเรือเป็นรูปพญาอนันตนาคราช
*** ซึ่งในยามสงบสุข พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก็ยังคงเป็นเสมือนพระโพธิสัตว์ ผู้ประสงค์จะช่วยเหลือราษฎรให้พ้นจากโรคทางกายและความทุกข์ใจ และมุ่งสู่สุคตบท (นิพพาน) ด้วยการบำเพ็ญจนเป็นมานุษิพุทธเจ้านั่นเองครับ
เครดิต ; FB
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
.........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

อัตชีวประวัติ หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ
เจ้าอาวาส วัดสังฆทาน
หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ เกิดเมื่อวันพุธขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ (๔ ฯ ๕) ปีวอก ตรงกับวันที่
๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ต.หนองผักนาก อ.สามชุก จ. สุพรรณบุรี( เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2555 นายบุญเลิศ โสภา ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. วันที่ 24 ส.ค.2555 ได้รับรายงานว่า พระอธิการสนอง กตปุญฺโญ หรือ "หลวงพ่อสนอง" เจ้าอาวาสวัดสังฆทาน อ.เมือง จ.นนทบุรี มรณภาพลงอย่างสงบด้วยโรคไต ในระหว่างที่กำลังจำพรรษาอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม กตปุญโญ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี สิริอายุ 68 ปี 4 เดือน พรรษา 48 ซึ่งทางคณะศิษยานุศิษย์ได้เคลื่อนศพหลวงพ่อสนองมาไว้ที่ศาลาทรงไทย วัดสังฆทาน)
ในตระกูล โพธิ์สุวรรณ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๘ คน 
๑. นางจอง ศรีสำแดง   
๒. นางลูกจันทร์ วงกต  
๓. นางบรรจง ปานสุวรรณ    
๔. นายบุญทรง  โพธิ์สุวรรณ    
๕. นางชะอม บุญประสม 
๖. หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญ  
๗. นายเสนาะ โพธิ์สุวรรณ  
๘. พระพงษ์ศักดิ์ สีลเปโม  
หลวงพ่อสนอง กตปุญฺโญอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๐ ปี ในวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๗  ณ วัดดอนไร่ ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
โดยมีพระครูสุวรรณวุฒาจารย์ (มุ่ย) วัดดอนไร่ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระบุญยก วัดดอนไร่ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระบุญทรง วัดหนองไผ่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ 

การจำพรรษา
พรรษาที่ ๑  พ.ศ. ๒๕๐๗
วัดหนองไผ่ ต.หนองผักนาก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี  
หลังจากที่อุปสมบทแล้วหลวงพ่อสนองได้ปฏิบัติตามศีลอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะข้อ ๑๐
(ชาตะรูปะระชะตะปะฏิคคะหะณา เวระมะณี) - เจตนาเว้นจากการรับเงินทองหรือยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน   ท่านออกธุดงค์ประมาณ ๗ เดือน ได้ข่าวโยมแม่บวชชีที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม จึงรีบเดินทางมาพบโยมแม่ด้วยความดีใจ และได้พบหลวงพ่อสังวาลย์ เขมโก จึงได้ถวายตัวเป็นศิษย์ หลวงพ่อสังวาลย์ได้แนะนำให้หลวงพ่อสนองเข้าห้องกรรมฐานบ่มอินทรีย์เจริญสติปัฏฐานสี่ ณ ป่าช้าวัดหนองไผ่ เช่นเดียว กับที่ท่านเคยปฏิบัติที่ป่าช้าวัดบ้านทึง โดยสมาทานไม่พูด ไม่เขียน (พูดเขียนได้แต่เฉพาะกับหลวงพ่อสังวาลย์รูปเดียวเท่านั้น) และได้สมาทานธุดงค์ ๗ ข้อคือ
๑. เตจีวริกังคะ ถือเพียงไตรจีวรเป็นวัตร  
๒. เอกาสนิกังคะ ถือนั่งฉันเพียงอาสนะเดียวเป็นวัตร  
๓. ปัตตปิณฑิกังคะ ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร ไม่ใช้ภาชนะใส่อาหารเกินหนึ่งอย่าง คือ บาตร  
๔. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ถือห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร แม้อาหารที่ถวายภายหลังจะประณีตกว่า  
๕. โสสานิกังคะ ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร  
๖. ยถาสันถติกังคะ ถืออยู่ในเสนาสนะแล้วแต่เขาจัดให้เป็นวัตร  
๗. เนสัชชิกังคะ ถือการนั่งเป็นวัตร เว้นการนอน อยู่ได้เพียง ๓ อิริยาบถ  
(เฉพาะข้อ ๗ เริ่มปฏิบัติหลังจากอยู่ป่าช้าแล้ว ๓ เดือนแล้วถือมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ซึ่งโยมมารดาถึงแก่กรรม จึงได้เลิกเนื่องจากสุขภาพไม่อำนวย)

พรรษาที่ ๒-๔  พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๑๐พรรษาที่ ๒-๔  พ.ศ. ๒๕๐๘-๒๕๑๐
ป่าช้าวัดหนองไผ่ ต.หนองผักนาก อ.สามชุก จ. สุพรรณบุรี    
การปฏิบัติในป่าช้า หลวงพ่อสังวาลย์จะมาสอบอารมณ์กรรมฐานหลวงพ่อสนอง ๑ เดือน หรือ ๒ เดือน ต่อครั้ง ผลการปฏิบัติในป่าช้าทำให้ท่านเชื่อในนรกสวรรค์ เชื่อว่ามรรคผลนิพพานมีจริง หลวงพ่อสังวาลย์กล่าวชมหลวงพ่อสนองว่าเป็นพระภิกษุสุวโจ คือเป็นคนที่ว่าง่าย สอนง่าย ไม่ดื้อ ไม่รั้น สอนอะไรก็ทำตามได้หมด

พรรษาที่ ๕-๖  พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๑๒
สำนักป่าพุทธอุทยานเขาถ้ำหมี ต.หนองมะค่าโมง อ.ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี   
หลังจาก ๓ ปีผ่านไป หลวงพ่อสนองขออนุญาตหลวงพ่อสังวาลย์ออกจากห้องกรรมฐาน หลวงพ่อสังวาลย์เห็นสมควรแล้วจึงอนุญาต และได้พูดถึงความดีของพระสงฆ์ให้ฟัง หลวงพ่อสนองกราบลาหลวงพ่อสังวาลย์เพื่อออกธุดงค์หาที่วิเวกและเที่ยวชมวัดร้าง โดยไม่คิดที่จะเป็นครูบาอาจารย์สอนใคร แต่หลวงพ่อสังวาลย์คิดว่าพระรูปนี้ต่อไปจะต้องสั่งสอน คนแน่นอน จึงมอบกลดของท่านที่หลวงพ่อเกลื่อนทำถวาย ซึ่งหลวงพ่อสังวาลย์ใช้เดินธุดงค์เป็นเวลาหลายปีให้กับหลวงพ่อสนอง การเดินธุดงค์ของหลวงพ่อสนองจะเดินไปตลอด ไม่ยอมขึ้นรถ เมื่อพบคนไม่มีรองเท้าก็ถอดให้ ตัวท่านเองจะเดินเท้าเปล่า ปี ๒๕๑๑ วัดร้างวัดแรกที่ท่านมาชมโดยมิได้ตั้งใจคือวัดสังฆทาน มีเพียงองค์หลวงพ่อโตและฐานอิฐเก่าๆ สถานที่สงบร่มรื่น เหมาะกับการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อสนองพิจารณาแล้วคิดสร้างวัดสังฆทานให้เป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามหลักธุดงคกรรมฐาน เพราะที่ตั้งของวัดอยู่ใกล้แหล่งรวมของผู้มีปัญญาและกำลังซึ่งจะเป็นกำลังของศาสนาได้ดี แต่ขณะนั้นตัวท่านคิดว่าตนเองยังมีบารมีไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้นำที่นี่ได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น การจะเข้ามาทำอะไรนั้นทำได้ยาก จะต้องให้เขาเห็นดี ให้เขาเข้าใจ เพราะเป็นการเผยแผ่ธรรมะให้กับผู้มีปัญญา ท่านจึงธุดงค์กลับไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำพุข่อย จ.สุพรรณบุรี แต่มีเหตุให้ต้นไม้ล้มขวาง เส้นทางลบหายไปหมด ท่านจึงเดินย้อนมาอีกทาง ก็มาพบเขาถ้ำหมี จึงเปลี่ยนใจปฏิบัติธรรมที่เขาถ้ำหมี ฝึกกสิณดินและกสิณไฟ ได้ดวงกสิณดินที่ถ้ำหมีนั่นเอง

พรรษาที่ ๗-๙  พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๕
ถ้ำกะเปาะ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร   
หลวงพ่อสนองเดินทางมาที่ถ้ำกะเปาะ พิจารณาแล้วว่าเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการฝึกปฏิบัติของพระมาก แต่มีไข้มาลาเรียชุกชุม  ที่นี่หลวงพ่อได้มาฝึกกสิณน้ำ กสิณลม ส่วนกสิณไฟได้มาฝึกต่ออีกครั้งจนเกิดดวงกสิณ การเผยแผ่ในช่วงนี้จะมีเพียงเล็กน้อย มีโยมมาฝึกสมาธิบ้าง ที่ถ้ำกะเปาะมีเหตุการณ์ที่สนุกประทับใจหลายเรื่อง มีพระที่ตามไปปฏิบัติธรรมกับท่านคือหลวงพ่อประทีป สมฺปุณฺโณ ต่อมาหลวงพ่อได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดต้นตาลโตน  จ. เชียงใหม่  มรณภาพเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔  พรรษาที่ ๑๐  พ.ศ. ๒๕๑๖ สำนักป่าพุทธอุทยานเขาถ้ำหมี อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี  หลวงพ่อสนองเดินทางกลับมาที่ถ้ำหมีอีกครั้งเพื่อมาโปรดญาติโยมและสร้างโรงเรียน มีญาติโยมศรัทธามาปฏิบัติเป็นประจำ ในวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนยอดเขาและได้ก้าวพลาดตกลงมา หลังกระแทกกับหินทำให้กระดูกที่หลังแตก จากนั้นเป็นต้นมาท่านจะปวดหลังตลอดเวลา ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ปวดจนเป็นปกติ เวลานั่งสอนสมาธิก็จะเจ็บปวด ขาทั้งสองจะชามาก ท่านไม่ได้ให้หมอรักษา แต่ใช้ความอดทนข่มความเจ็บปวดเนื่องจากไม่ต้องการให้ใครทราบและเป็นห่วง โดยเฉพาะโยมแม่ซึ่งขณะนั้นเป็นแม่ชีอยู่ที่วัดสังฆทาน แต่หลังจากโยมแม่ถึงแก่กรรม (ปี พ.ศ. ๒๕๓๒) ท่านจึงได้เล่าให้ญาติโยมฟังและไปรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช

พรรษาที่ ๑๑-๒๔  พ.ศ. ๒๕๑๗-๒๕๓๐
วัดสังฆทาน ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี  
หลังจากที่ฝึกกสิณดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเวลา ๖ ปี หลวงพ่อสนองจึงเดินทางกลับมาวัดสังฆทานอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ หลังจากนั้นก็มีพระเณรตามมาแต่ก็หนีกลับ เพราะบิณฑบาตแล้วไม่พอฉัน ท่านใช้การเผยแผ่ด้วยความสงบ ด้วยการปฏิบัติ ท่านเล่าว่ามีนิมิตเกิดขึ้นคือ หมีเดินเข้ามาหา ต่อมาหมีก็กลายเป็นหมู จากหมูก็กลายเป็นเณรมานั่งตักท่าน นโยบายของหลวงพ่อเริ่มต้นด้วยการสร้างบุคลากรโดยมุ่งฝึกพระที่มาบวช พระที่จะออกมาทำงานให้กับสังคมต้องเก็บตัวก่อน จนกว่าจะมีธรรมะและสามารถนำธรรมะมาใช้ได้ จึงจะให้ออกมาทำงาน   ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ท่านได้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธ-อเนกประสงค์ วัดสังฆทานขึ้นเพื่อช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา และจะช่วยหมู่คณะได้ดีขึ้น มูลนิธิฯ จะเป็นตัวแทนของท่านในอนาคต

พรรษาที่ ๒๕  พ.ศ. ๒๕๓๑
วัดสังฆทาน เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ  
หลวงพ่อสนองได้เดินทางไปจำพรรษา ณ วัดสังฆทาน เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ โดยมีพระสุรชัย อภิชโย (ปัจจุบันลาสิกขาแล้ว) เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อพยายามฝึกฝนเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะใช้สอนสมาธิ อธิบายธรรมะให้กับชาวต่างชาติ เพราะต่อไปเมืองไทยจะมีชาวต่างชาติมาศึกษาสมาธิกันมาก และจะเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่ศาสนาพุทธให้กับชาวต่างชาติ ที่อังกฤษมีญาติโยมคนไทยมาฝึกสมาธิและทำบุญประมาณ ๕๐๐ ครอบครัว

พรรษาที่ ๒๖-๓๔  พ.ศ. ๒๕๓๒-๒๕๔๐
วัดสังฆทาน ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี  
หลวงพ่อสนองกลับมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี หลังจากที่ได้วางรากฐานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามหลักธุดงค-กรรมฐานที่ประเทศอังกฤษแล้ว  ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ แม่ชีแม้น โพธิ์สุวรรณ (มารดาของหลวงพ่อสนอง) ถึงแก่กรรม   ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงปู่เอม อริยวํโส อายุ ๙๔ ปี พรรษา ๓๔ (บิดาของหลวงพ่อสนอง) มรณภาพเมื่อ วันที่ ๕ พ.ย.  ปี ๒๕๔๐ หลวงพ่อสนองสร้างสำนักสงฆ์ที่เขายายแสง ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

พรรษาที่ ๓๕-๓๙  พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๕
วัดถ้ำกฤษณาธรรมาราม ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา  
หลวงพ่อสนองได้เปลี่ยนชื่อสำนักสงฆ์เขายายแสงเป็น วัดถ้ำกฤษณาธรรมาราม ดำริให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพระภิกษุ พื้นที่รอบเขาปลูกเป็นป่ากฤษณา มีอุโบสถเป็นถ้ำ พื้นที่ติดต่อกับบ้านสว่างใจซึ่งเป็นสถานที่เข้าคอร์สสมาธิตามหลักสติปัฏฐานสี่สำหรับสาธุชนทั่วไปรวมทั้งชาวต่างชาติ เป็นสถานที่ที่มีอากาศที่หนาวเย็นสบาย พื้นที่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่   การเผยแผ่พระพุทธศาสนาของหลวงพ่อสนองดำเนินไปในนามของมูลนิธิพุทธอเนกประสงค์ วัดสังฆทาน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของมวลมนุษย์ด้วยความเมตตา
ที่มา ;
http://www.sbbtv999.com/
****************************
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พระศิวะสิบกร

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

“พระศิวะ 10 กร” ในศิลปะทวารวดี องค์เดียวในประเทศไทย จากวัดเขาเหลือ ราชบุรี 
รูปสลักบนหินปูนสีเข้ม วัสดุยอดนิยมในยุควัฒนธรรมภารตะภิวัฒน์-ทวารวดี (Indianization-Dvaravati) ชิ้นหนึ่งจากวัดเขาเหลือ อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติราชบุรี ปรากฏรูปนูนสูงของ “พระศิวะ”(Shiva-śiva) ที่มี 10 กร มีศิลปะตามแบบพระพุทธรูปทวารวดีในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 - 14 ที่มีใบพระพักตร์ป้านกลม พระพระนลาฏ (หน้าผาก) แบนแคบ พระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา พระเนตรโปน เบิกพระเนตรกว้าง มีเส้นพระกาฬเนตร พระนาสิกเป็นสัน (ถูกทุบ) พระโอษฐ์บนล่างหนาเป็นแนวตรง ติ่งพระกรรณยาวเป็นร่อง กลางพระนลาฏสลักนูน ขีดเวนขอบเป็นรูปโค้งรีแบบข้าวสารอ้วนป้อม ในความหมายของพระเนตรที่สาม (รุทรเนตร)  รวบเส้นพระเกศาเป็นเส้นขึ้นไปมวยรัดเกล้าผม ปลายมวยตัด แบบที่เรียกว่า “ชฏามุกุฏ” (Jaṭāmukuṭa) หรือ “จันทราศิขระ” (Chandrasekhara) หน้ามวยผมประดับด้วยปิ่น “พระจันทร์เสี้ยว” (Crescent moon) อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญขององค์พระศิวะ
ด้านหลังพระเศียรสลักเป็นประภารัศมีวงกลม ด้านข้างปรากฏร่องรอยการสลักรูปพระกร 10 พระกร ส่วนพระวรกายที่เห็นอยู่นั้น กลับดู “ลักลั่น” ไม่ได้สัดส่วนอย่างชัดเจน รูปพระกรข้างพระวรกายยืดยาวลงไปด้านล่าง ส่วนพระอุระลงมาที่พระโสณี (เอว) ก็เล็กคอดและแคบไม่รับสัดส่วนกับพระเศียรอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็เป็นเพราะว่า ในยุคหลังครั้งหนึ่ง ซึ่งก็น่าจะเป็นสมัยกรุงศรีอยุธยา คงได้มีการขนย้ายรูปประติมากรรมพระศิวะไปที่วัดเขาเหลือ โดยช่างได้พยายามกะเทาะสกัดแก้ไขให้เป็นพระพุทธรูปยืนตรงแบบ “สมภังค์” (Samabhaṅga) เจาะหินเป็นร่องเอว เพื่อใช้เป็นโกลนร่างพอกปูนปั้นทับอีกที แต่ก็ดูเหมือนว่า การดัดแปลงจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ เพราะหินส่วนล่างไม่เพียงพอ จึงทิ้งรูปสลักค้างคาไว้ที่วัดเขาเหลือครับ
เมื่อวางสัดส่วนที่เหมาะสมเป็นภาพลายเส้นลงไปบนรูปสลักพระศิวะ จึงพบว่า รูปสลักนี้ในครั้งแรกสร้าง ก่อนที่จะถูกสกัดผิวหินด้านหน้าออก เป็นรูปประติมากรรมพระศิวะ 10 กรแบบ “ประทับนั่ง” พระกรด้านใน (ติดกับตัว) จะยาวลงมารับกับรอยแตกที่เหลืออยู่อย่างสมสัดส่วน พระหัตถ์ทั้งสองวางกุมอยู่ที่พระชานุ (หัวเข่า) ที่ยังคงเห็นรอยโค้งของพระหัตถ์ล่างด้านซ้ายอย่างชัดเจน
รูปศิลปะพระศิวะประทับนั่ง 10 กร ดูเหมือนว่าจะเป็นงานศิลปะที่หาพบได้ยากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์ที่พบจากวัดเขาเหลือจึงเป็นเพียงประติมากรรมเพียงรูปเดียวที่พบในประเทศไทย ซึ่งก็ยังมีอีกองค์หนึ่งในรูปแบบเดียวกัน เป็นพระศิวะ 10 กร ประทับนั่งบนดอกบัวจาก “ปราสาททัปแบ๊งอิท” (Tháp Bánh Ít) (ขนมมัน-ขนมเทียนเวียดนาม) ในจังหวัดบินห์ดินห์ (Bình Định) ศิลปะแบบหมี่เซิน A1  พุทธศตวรรษที่ 16 -17 ซึ่งการประทับนั่งบนดอกบัว น่าจะมาจากคติ “โยคะทักษิณา” หรือ “มหาโยคีทักษิณามูรติ” (MahaYogi-Dakshina-murti) หรือพระศิวะในภาพลักษณ์ของมหาฤๅษีบรมครู “คุรุ-กูรู” ผู้สดับรู้ทุกสรรพสิ่ง เป็นมูรติหรือปางที่ทรงลงมาสั่งสอนวิชา 18 แขนง แก่เหล่าฤๅษี ฤษิณี มุนี ดาบส เทพเจ้า มนุษย์ และอสูร  อย่างภาพสลักพระศิวะประทับนั่ง 8 กร ที่ผนังวิมาน“เทวาลัยไกรลาสนาถ” (Kailāsanātha Temple) หรือ “ถ้ำเอลโลร่า ที่ 16” (Ellora 16) ในเขตเมืองออรังกาบัด (Aurangabad) รัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) ศิลปะในยุคราชวงศ์ราชฐากุฏะ (Rashtrakuta) ในช่วงปลายสุดของพุทธศตวรรษที่ 13 จนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 14 ครับ
รูปแบบทางศิลปะของประติมากรรมพระศิวะ – โยคะทักษิณามูรติ จากวัดเขาเหลือ แกะสลักจากหินปูนสีเข้มในท้องถิ่น ด้วยงานศิลปะแบบเดียวกับรูปปูนปั้นที่พบจากเมืองโบราณคูบัว นอกจากใบพระพักตร์ที่แสดงความเป็นศิลปะทวารวดีพื้นถิ่นอย่างชัดเจนแล้ว ยังใช้รัดเกล้ามวยผมเป็นห่วงกลม รวบผมขึ้นไปมวยแบบเรียบ ๆ ทั้งยังปรากฏการใช้ตุ้มหู (Earring) แบบตุ้มก้ามปู คล้องเขากับช่องเจาะติ่งพระกรรณที่ยืดยาวลงมา
ถึงแม้ว่าในยุควัฒนธรรมทวารวดี จะมีอิทธิพลของพุทธศาสนาจากอินเดียอานธระ ปาละและลังกา แต่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 คติฝ่ายฮินดู (Hinduism) โดยเฉพาะไศวะนิกาย (Shaivism) ที่นิยมในอินเดียใต้ คงได้เข้ามาพร้อมกับการค้าทางทะเล  พ่อค้าชาวฮินดู คงได้ให้มีช่างท้องถิ่นได้แกะสลักรูปพระศิวะ-โยคะทักษิณามูรติ ขึ้นไว้เพื่อการสักการบูชาในเขตสถานีการค้าของตน แกะสลักบนแผ่นเพื่อไปประกบติดกับผนังศาสนสถานขนาดเล็ก กำแพงหรือวางตั้งในที่แจ้งโดด ๆ  ซึ่งต่อมาเมื่อเมืองโบราณคูบัวร้างลาลงไปในช่วงหลังพุทธศตวรรษที่ 16 รูปสลักพระศิวะจึงถูกทิ้งไว้ ถูกทุบทำลาย จนได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปในสมัยอยุธยาครับ
เครดิต ;FB
วรณัย  พงศาชลากร
EJeab  Academy
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


พระนาคปรก

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

“พระพุทธรูปโดนปาดคอ” โศกนาฏกรรมที่เชิงเขาไปรบัด ?
ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร มีพระพุทธรูปนาคปรกองค์หนึ่งมีร่องรอยถูกเลื่อยปาดพระศอ (คอ) เล่ากันมาจากชาวบ้านในพื้นที่ ที่เคยขึ้นไปขุดหาสมบัติโบราณออกไปขายว่า ได้นำลงมาจากซากปราสาทบนเขาพนมไปรบัด อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
--------------------------------
*** “พระพุทธรูปนาคปรก” เป็นอิทธิพลสำคัญจากสองคติความเชื่อ ทางฝ่ายเขมรต่ำหรือแคว้นกัมพุชเทศะจะเล่าถึงตำนานเรื่อง “นางนาคโสมะ” ผู้เป็นมารดาแห่งอาณาจักรกัมโพช
ในขณะที่ฝ่ายฝั่งตะวันตก ในวัฒนธรรมทวารวดี-อินเดีย “นาค” ปรากฏตัวในคติความเชื่อทางพุทธศาสนาในศิลปะแคว้นอานธระ-อินเดียใต้ ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 8 - 9 ตามพุทธประวัติครั้งที่พระพุทธเจ้าได้มาประทับใต้ต้นมุจลินทร์ ในช่วงเสวยวิมุติสุขหลังการตรัสรู้ ขณะที่เกิดพายุฝน พญานาคที่ห่วงใยและอยากได้บุญบารมีได้เลื้อยขึ้นมาและปกป้องการบำเพ็ญสมาธิของพระองค์โดยการขนดตัว และแผ่พังพานปรกป้องกันพระองค์ไว้ และความนิยมในการบูชามนุษย์นาค-พญานาค ในฐานะเจ้าแห่งอาณาจักรใต้ปัฐพีในอินเดียใต้
ความลงตัวของ คติความเชื่อเรื่อง “งูใหญ่” หรือ “นาคา” ของสองวัฒนธรรม ในภูมิภาคใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างรูปศิลปะของพระพุทธเจ้าปางนาคปรก ทั้งในคติเถรวาทและมหายานในวัฒนธรรมเขมรโบราณขึ้นครั้งแรก ๆ ตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ช่วงยุคสมัยของพระเจ้าสูริยวรมันที่ 1 (ปราสาทเขาพระวิหาร – ศิลปะพระวิหาร) ผู้ให้การอุปถัมภ์พุทธศาสนามหายานในอาณาจักร
---------------------------
*** พระพุทธรูปนาคปรกจากซากปราสาทบนยอดเขาไปรบัด ประทับนั่งขัดสมาธิราบเป็นหลัก มีขนดนาค 3 ชั้น ลดสอบแคบลงไปส่วนฐานล่าง พระเศียรมีขมวดพระเกศาเป็นก้นหอยนูน ขนาดใหญ่เล็ก เรียงเม็ดขมวดแบบสับหว่าง ส่วนอุษณีษะหรือพระเมาลี มีลักษณะนูนเหมือนมะนาวตัดครึ่งซีก
ลักษณะเด่นของพุทธศิลป์พระพุทธรูปสมัยพระเจ้าสูริยวรมันที่ 1 คือจะมีมีพระเนตรเปิดกว้าง สลักพระเนตรลึก ไม่เหลือบต่ำ คว้านพระเนตรเป็นช่องเพื่อไว้บรรจุเนื้อของหอยมุกขาวและอัญมณีสีเข้มดำเป็นพระเนตรดำ  ช่องพระทาฒิกะ (เครา) และพระมัสสุ (หนวด) สลักเป็นรูปปีกกา พระหนุผ่ากลางเป็นร่องตื้น แบบเดียวกับรูปประติมากรรมทวารบาลสำริด จากปราสาทสระกำแพงใหญ่ นิยมทำจีวรบางแนบพระวรกายจนเหมือนผ้าจีวรบางแนบเนื้อจนมองทะลุ อาจมีแนวเส้นผ่าที่กลางพระอุระบาง ๆ เพื่อทำให้ดูเหมือนผ้าจีวรยับกลาง
นาคปรกจะมี 7 เศียร เศียรนาคตรงกลางหันหน้าตรง  ส่วนเศียรนาคด้านข้าง 6 เศียรจะเอียงลู่มองขึ้นไปยังเศียรกลาง  ไม่มีรัศมีหรือกระบังหน้าประกอบ
พระนาคปรกในยุคสมัยพระวิหารนี้ จัดเป็นประติมากรรมที่หาพบได้ยาก เหมือนกับว่าจะสร้างขึ้นไม่มากนักในสมัยของสมัยของพระเจ้าสูริยวรมันที่ 1 เอง จึงจัดว่าเป็นพุทธศิลป์เฉพาะยุคสมัยที่มีความสำคัญ มีความต้องการในตลาดค้าวัตถุโบราณ ส่วนที่มีรอยโดนปาดพระศอนั้น เล่ากันจากชาวบ้านที่เคยขึ้นไปขุดหาสมบัติโบราณออกไปขายว่า เดิมพระนาคปรกองค์นี้ ถูกชะลอยกลงมาจากปราสาทพนมไปรปัด (น่าจะเป็นหมายเลข 1 ยอดเขาทางตะวันตก ที่มีอายุทางศิลปะเดียวกัน ) ในช่วงปี พ.ศ. 2508 เมื่อฝ่ายราชการทราบเรื่อง จึงมีประกาศจากหน่วยปกครองให้ชาวบ้านนำรูปประติมากรรมสำริดหลายชิ้น รวมทั้งพระพุทธรูปนาคปรกที่ขนลงมาจากปราสาทไปรบัด มาคืนให้กับทางราชการ โดยให้นำไปรวมไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้าน
แต่ในระหว่างที่นำมารวมไว้ที่ศาลาในคืนหนึ่ง ก็มีความพยายามของชาวบ้านนักขุดบางคนจะเลื่อยตัดพระเศียรออก (เพราะขนย้ายเฉพาะพระเศียรไปขายได้ง่ายและมีราคาสูงกว่า) อย่างใจเย็น แต่โชคดีที่ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่มาพบเห็นรอยตัดที่พระศอเสียก่อน  ฝ่ายนายอำเภอจึงให้นำพระนาคปรกนี้ออกมาจากศาลากลางหมู่บ้าน ส่งมอบแก่กรมศิลปากรในทันที
*** พระพุทธรูปที่อาจมีใบพระพักตร์ของพระเจ้าสูรยวรรมะเทวะ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรกัมพุชะเทศะในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นพระพุทธรูป “พระสุคต” (Sugatā) ฉลองพระองค์ ในพระนามภายหลังจากการเสด็จสวรรคตว่า “วฺระบาทบรมนิวฺวานบท” (Nirvanapada)  อันมีความหมายว่า “ผู้ถึงแก่บทแห่งพระนิพพานอันยิ่งใหญ่" ยังคงปรากฏรอยการเลื่อยปาดคอองค์พระให้เห็นเป็นอนุสรณ์ของความพยายามในการโจรกรรมโดยผู้คน ในโศกนาฏกรรม ...ที่เชิงเขาไบรบัด
เครดิต ; FB
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................


วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก ผู้มากบารมีแห่งเมืองสุพรรณบุรี
โดย...ณศักต์ อัจจิมาธร
เมื่อครั้งที่ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี เคลื่อนทัพพระกรรมฐานจากทั่วสารทิศออกมาบิณฑบาตกู้เศรษฐกิจชาติที่กำลังประสบหายนะในปีพ.ศ. 2540 นั้น ท่านได้ยกย่องพระเถระรูปหนึ่งว่าเปรียบเสมือนแขนซ้าย ที่ช่วยบิณฑบาตทองคำนับหมื่นล้านบาทเข้าคลังหลวง ขณะที่เปรียบองค์ท่านเองเป็นแขนขวาที่คอยพาดำเนินการ
พระเถระรูปนั้นคือ หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก หรือ หลวงพ่อใหญ่ แห่งวัดทุ่งสามัคคีธรรม อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
ครั้งนั้นหลวงตามหาบัวได้กล่าวเอาไว้ว่า “สำหรับหลวงพ่อสังวาลย์ยกให้เป็นข้างหนึ่งเลย เรียกว่าเป็นแขนซ้ายของเรา เอาจริงเอาจังมาก ท่านช่วยจริงๆ ยกให้เป็นแขนซ้ายของเรา เราเป็นแขนขวา เป็นผู้พาดำเนิน ท่านเดินตามหลังด้วยแขนซ้าย ไม่ใช่น้อยๆ นะ ท่านหาทองคำได้มากทีเดียว เราพอใจ”
หลวงปู่สังวาลย์ มีนามเดิมว่า สังวาลย์ จันทร์เรือง เกิดวันจันทร์ เดือนมี.ค. 2459 ที่บ้านหนองผักนาก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่ 4 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 6 คน
ครอบครัวของ ด.ช.สังวาลย์ เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ เนื่องจากมีเรือกสวนไร่นา โรงสี และควายเลี้ยงเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุที่ครอบครัวมีเงินทอง บิดามารดาจึงไม่ได้ให้ ด.ช.สังวาลย์ ไปเรียนหนังสือ แต่ให้รับผิดชอบทำไร่ทำนากับทางบ้านแทน
เมื่ออายุครบบวชจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านทึง ด้วยความที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จึงอ่านบทสวดมนต์ต่างๆ ไม่ได้ แต่ท่านก็ได้ใช้วิธีต่อหนังสือในการจำบทสวดมนต์ คือให้พระสวดให้ฟัง แล้วท่านก็ว่าตามไป หรือไม่ก็จำจากที่แม่ชีสวด กระทั่งออกพรรษาจึงลาสิกขาออกมา
หลังสึกออกมาจึงตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวตามวิสัยฆราวาสในปีพ.ศ. 2448 และได้เกิดล้มป่วยลง ซึ่งนายสังวาลย์ได้รับคำแนะนำจาก แม่ชีจินตนา เพื่อนบ้าน ที่ได้อบรมภาวนากับ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ให้ภาวนาพุทโธ นายสังวาลย์จึงยึดภาวนาเรื่อยมาจนร่างกายหายเจ็บป่วยและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
การภาวนาครั้งนั้นทำให้นายสังวาลย์เกิดนิมิตขึ้นขณะที่ยืนส่องกระจกอยู่แล้วบังเอิญมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านมา แต่นายสังวาลย์กลับมองเห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นโครงกระดูก ทำให้จิตเกิดสังเวชในร่างกายมนุษย์ และเริ่มพิจารณากายในรูปของ อสุภมากขึ้น และปรารถนาที่จะออกบวช
หลวงปู่สังวาลย์เคยเล่าให้ศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า ครั้งหนึ่งแม่บางภรรยาของท่านไม่สบาย ก็ได้ช่วยดูแลตามประสาสามี ธรรมดาของคนป่วยย่อมจะต้องมีความอิดโรยเป็นธรรมดาและช่วยตัวเองไม่ได้ จึงช่วยตักน้ำราดศีรษะให้ภรรยา พอน้ำราดลงบนเส้นผม ไอระเหยที่โดนเส้นผมนั้นส่งกลิ่นชวนให้น่ารังเกียจ เนื่องจากไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งว่า ร่างกายของคนเรานี้เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี เป็นรังแห่งโรค เป็นที่เกิดแห่งทุกข์
กระทั่งปีพ.ศ. 2494 จึงได้ตัดสินใจอุปสมบทเป็นครั้งที่ 2 ที่วัดนางบวช ต.นางบวช อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านทึง อ.สามชุก ซึ่งเป็นวัดที่เคยจำพรรษาในการอุปสมบทครั้งแรก
บวชแล้วหลวงปู่สังวาลย์ก็ได้ขอ พระอาจารย์ฮุ้ย ชิตมาโร เจ้าอาวาสวัดบ้านทึง ว่าจะไม่รับกิจนิมนต์ และขอวิเวกภาวนาอยู่แต่ในป่าช้า
ณ ที่แห่งนั้นเอง หลวงปู่สังวาลย์จึงได้พบกับ พระมหาทอง โสภโณ ซึ่งจำพรรษาอยู่ก่อนแล้ว โดยพระมหาทองเป็นผู้ที่เก่งด้านปริยัติ จึงได้ถ่ายทอดเรื่องข้อวัตรปฏิบัติและศีลให้หลวงปู่สังวาลย์ ซึ่งหลวงปู่สังวาลย์ได้ยอมรับว่า พระมหาทองเป็นครูแท้ในชีวิตท่าน ซึ่งเมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อวัตรหรือข้อศีล ท่านก็จะเรียนถามพระมหาทองอยู่เสมอ
ตลอดเวลา 5 ปี ที่หลวงปู่สังวาลย์ปฏิบัติภาวนาอยู่ในป่าช้านั้น ท่านได้ถือข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ อย่างเคร่งครัด โดยอยู่ป่าช้าเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร ฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร และใช้ผ้า 3 ผืนเป็นวัตร
ท่านว่า เมื่อทำสมาธิยิ่งยวดมากเข้า ความรู้ต่างๆ อันเกิดจากแสงสว่างมีมากขึ้น ความรู้เห็นนี้มันเกิดขึ้นเอง ไม่ใช่อยากหรือไม่อยากให้มันเกิด พอมันเกิดก็น้อมเข้าไปดูภายใน เข้าทางจมูกก็ได้ เข้าทางปากก็ได้ เข้าทางตา เข้าทางทวารทั้ง 9 ได้หมด กายภายนอกและกายภายในที่ปิดบังอยู่นั้นเปิดหมดเลย
“อสุภกรรมฐานปรากฏตลอดเวลา ทำจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน 7 วัน 7 คืนก็มี อาหารบางวันก็ฉันบ้าง บางวันก็อดเอา กายเบาใจเบาเสียแล้ว ความสุขความปีติมีมารักษาใจ ความหิวจึงไม่กำเริบ จึงบิณฑบาตเพียงเฉพาะอาจารย์”
ในปีพ.ศ. 2499 หลวงปู่สังวาลย์ได้ธุดงค์ออกจากป่าช้าวัดบ้านทึงและได้มาปักกลดอยู่ที่วัดทุ่งสามัคคีธรรม ในปีพ.ศ. 2499 ซึ่งในขณะนั้นเป็นวัดร้าง โดยท่านได้อาศัยวิหารร้างเก่าเป็นที่อาศัย ซึ่งหลวงปู่สังวาลย์ได้เริ่มพัฒนาวัดทุ่งให้เป็นสถานที่ปฏิบัติภาวนาแก่ญาติโยมผู้ศรัทธา
หลังจากนั้นท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปยังจังหวัดต่างๆ และได้พัฒนาขึ้นหลายแห่งตามเส้นทางที่ท่านเดินธุดงค์ อาทิ วัดเขาดีสลัก ในเขต อ.ศรีประจันต์ วัดเขาคีรีธรรม เขต อ.เดิมบางนางบวช และได้มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปจนถึงเขาสารพัดดี จ.ชัยนาท และพบว่าบนยอดเขามีพระพุทธเก่าแก่ จึงได้สร้างวัดเขาสารพัดดีขึ้น
เมื่อวัดเขาสารพัดดีเป็นวัดสมบูรณ์เต็มที่ หลวงปู่สังวาลย์จึงหวนกลับมาที่วัดทุ่งสามัคคีธรรมอีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นอยู่ในสภาพเสื่อมโทรม ท่านจึงมุ่งบูรณะให้วัดทุ่งสามัคคีกลับมารุ่งเรืองเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมแก่คณะศิษย์ผู้ศรัทธาอีกครั้ง ซึ่งต่อมาวัดทุ่งสามัคคีนับเป็นวัดที่มีคณะศิษยานุศิษย์เดินทางไปปฏิบัติธรรมมากที่สุดในบรรดาวัดที่ท่านสร้างเอาไว้
นอกจากการพัฒนาด้านศาสนวัตถุอันได้แก่ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ และกุฏิอีกหลายชุด รวมถึงการขยายที่ดินวัดออกไปอีกหลายร้อยไร่แล้ว ในด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาท่านก็มุ่งมั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจัดบวชเนกขัมมะปีละ 3 ครั้ง ทุกวันพระ 8 ค่ำ จะมีพิธีเวียนเทียนกลางคืน 2 รอบ หากเป็นวันพระกลางเดือนและสิ้นเดือน จะมีการถือเนสัชชิก นั่งภาวนาตลอดคืน พิธีเวียนเทียน 3 รอบ
ด้านการสอน ท่านเน้นการอบรมสั่งสอนบรรดาศิษย์ในเรื่องกรรมฐานเบื้องต้นของการปฏิบัติ โดยพยายามให้ผู้ปฏิบัติเจริญสมถกรรมฐานเสียก่อน โดยใช้ภาวนาว่าพุทโธ ให้บริกรรมภาวนาคู่กับอานาปานสติกรรมฐาน
“กรรมฐานมีการกำหนดความรู้กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก พยายามทำสติ พยายามเจริญสติอยู่กับกองลมเข้า กองลมออก ไม่ปล่อยอารมณ์ไปในภายนอก เมื่อจิตสามารถสงบระงับดับนิวรณ์ได้แล้ว จึงสอนให้เจริญวิปัสสนากรรมฐานสืบต่อไป”
คำสอนของหลวงปู่สังวาลย์ที่เมตตาเทศน์สอนศิษย์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคำสอนสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยค แต่กินความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก วันหนึ่งท่านเทศน์สอนพระเณรว่า
“เราต้องสำรวมกายวาจาใจ กายสำรวมง่าย เดินอย่างมีสติไว้ ตาเพ่งไปแค่แอกเกวียน ส่วนใจสิยาก อะไรๆ ใจนั้นสำคัญนะมองให้เห็นความสกปรกไม่งาม แค่หน้าไม่ได้ล้าง เท้าไม่ได้ขัดถูสัก 23 วัน เป็นไง พิจารณาว่าไม่งามเหม็นสาบสาง เมื่อไม่ได้ฉาบทาปรุงแต่ง ฟันไม่ได้แปรงแค่วันสองวัน พูดทีมันเหม็นไม่รู้จักเท่าไร
กำหนด รู้หนอคิดหนอ ไว้ ถ้าปล่อยไม่ทำสติมันจะเพลินในอารมณ์ กายสงบวาจาสงบแล้ว เหลืออีกอย่างเดียว ทำใจให้สงบให้ได้ การบวชของเราจะมีอานิสงส์มาก เราบวชแล้วไม่สำรวมใจ แม้มองตีนผู้หญิง กามคุณปรุงแต่งว่ามันสวยมันดี เป็นพระเขากราบไหว้ ถ้าคิดรักชีรักสตรีเพศแม่ไม่ดีหรอก เจ้าของเขารู้อายเขาตายเชียวนะ!”
เคยมีโยมคนหนึ่งถามท่านขึ้นว่า “หลวงพ่อ...คนที่ตายแล้วจะไปอยู่ไหน?”
ท่านก็ยิ้มแล้วตอบว่า “ถ้าตายในขณะจิตโกรธ โลภ หลง จิตอยู่ในสภาวะนี้จิตจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าขณะจิตที่เป็นกุศล คิดถึงคุณงามความดีที่ได้ทำก็จะได้ไปสวรรค์ ไม่ไปอบายภูมิ ถ้าตายในขณะจิตสงบนิ่งเฉยๆ ก็จะไปเป็นพรหม หรือสำเร็จพระอรหันต์ไปเลย”
“ถ้าเรามีธรรมะในดวงใจ แสงสว่างก็จะเกิดขึ้นมา ถ้าเราไม่มีธรรมะ มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ดวงจิตก็จะมืด มองไม่เห็นแสงสว่าง ถ้าจิตเราผ่องใส สะอาด จะมองเห็นแสงสว่างได้ง่าย การทำดวงจิตอย่างนี้ให้เกิดขึ้นไม่ใช่ของง่ายๆ
อาตมาก็ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่อาตมาก็ปฏิบัติได้ ทำจิตให้สงบได้ ปฏิบัติให้จิตสงบก็จะรู้ใจตนเองได้”
แม้ในประวัติของหลวงปู่สังวาลย์จะมิได้บันทึก มรรคผลแห่งการปฏิบัติภาวนาของท่านเอาไว้ แต่เรื่องที่ศิษย์เล่าขานถึงบารมีของท่านอันเคยประจักษ์แก่สายตา ก็ไร้ข้อกังขาว่า ท่านก้าวข้ามสู่ฝั่งอริยะแล้วหรือไม่
บางคนเห็นแสงพวยพุ่งออกจากตัวท่านในยามค่ำคืนบ้าง
บางคนเห็นแสงประกายอย่างมรกตออกจากสายตาท่านบ้าง
บางคนเห็นท่านเดินผ่านโคลนตมแล้วเท้าไม่เปื้อนบ้าง
หรือบางคนก็พบว่า ทำไมท่านเดินผ่านสายฝนแล้วจีวรไม่เปียกบ้าง
หลายคนพบว่า ท่านเทศน์แก้ปัญหาในใจให้แก่ศิษย์ ตั้งแต่ศิษย์ยังมิได้เอ่ยปากถาม
หลวงตามหาบัวสรรเสริญหลวงปู่สังวาลย์เอาไว้ว่า “หลวงพ่อสังวาลย์เป็นผู้มีบุญญาภิสมภารอันกว้างขวางลึกซึ้งมาก ยากที่จะมีใครๆ เสมอเหมือนได้ เพราะท่านมีน้ำใจกว้างขวาง แสดงออกให้เห็นจาก บริษัทบริวาร ศรัทธาทั้งหลาย ที่มาจากทุกทิศทุกทาง
คนเราต้องมาด้วยน้ำใจ น้ำใจเป็นของลึกซึ้งมากทีเดียว ถ้าลองน้ำใจได้ไหลลงไปที่ใดแล้ว เป็นได้ไหลตลอด ไม่มีถอย นี่น้ำใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศีลด้วยธรรมของพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งเกิดจากความเชื่อความเลื่อมใสในหลวงพ่อสังวาลย์
แม้องค์ท่านเองจะทุพพลภาพ ไปไหนมาไหนนอนนั่งอยู่บนเตียงก็ตาม แต่วาสนาบารมีของท่านไม่ได้นอนอยู่บนเตียง เหมือนเรือนร่างของท่าน แต่เต็มไปด้วยความเมตตาต่อพี่น้องทั้งหลาย”
ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่สังวาลย์ได้อาพาธ จนเส้นประสาทในร่างกายใช้การไม่ได้ ทำให้ท่านต้องนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ และได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดสังฆทาน จ.นนทบุรี โดยมีพระอาจารย์สนอง กตปุญโญ ศิษย์ผู้ใกล้ชิดเป็นผู้อุปัฏฐากดูแล
กระทั่งวันที่ 2 มิ.ย. 2547 ท่านก็ดับขันธ์ไป สิริรวมอายุได้ 89 ปี ด้วยวัตรปฏิบัติอันงดงามตลอดเวลาที่หลวงปู่ดำรงขันธ์ ชื่อของท่านจึงเป็นที่กล่าวขานในบรรดาศิษย์ ซึ่งต่างขนานนามยกให้ท่านเป็นพระดีศรีสุพรรณรูปหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง
...................................
สุดสะพรึง เมื่อคำทำนายเตือนเหตุการณ์ล่วงหน้าของ  "หลวงปู่สังวาลย์ เขมโก" แห่งวัดทุ่งสามัคคีธรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ว่าจะมีเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับภับพิบัติที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งคำทำนายได้บอกเล่าผ่าน หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ไว้ มีรายละเอียดดังนี้
ไม่ช้าพวกเราก็ตายแล้ว แต่โลกนี้จะเดือดร้อน แต่ถ้าเราอยู่ถึงก็จะเห็นภัย 3 อย่าง
1) น้ำจะท่วมภาคใต้ ฝั่งตะวันตกตายกันเยอะ เป็นครั้งที่ 1 แต่ก็ตายไม่มากเท่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ นี่ น้ำท่วมมาก ท่วมตึก 4 ชั้นเลยให้เตรียมน้ำมันรถไว้ให้ดีนะ เตรียมรถให้ดี อย่าใช้รถเก่านะ ถ้าน้ำท่วมกรุงเทพฯ ฝนจะตก 7 วัน 7 คืน ฟ้าจะมืดหมด ไม่มีแสงอาทิตย์ แสงตะวัน แล้วไฟดับหมด เงินจะไม่มีค่า ไม่มีความหมาย เอาข้าวตากไว้ดีกว่า ตอน 7 วัน 7 คืน
2) ท่านบอกหลวงพ่อสนอง ที่วัดอีกครั้งว่า เวลาฝนตก 7 วัน 7 คืน ถ้าน้ำท่วมมาถึงชลบุรี โกยได้เลยนะ ไปสระบุรี ไปเขาใหญ่ จะไม่ตาย  คลื่นยักษ์เมื่อมาถึงชลบุรีท่วมภูเขาเลย ท่วมไปจนถึงวัดทุ่งสามัคคีธรรม วัดทุ่งนี่เรานั่งพื้นน้ำเปียกหัวเรือเลยนะ น้ำไปสุดนครสวรรค์ เราบวชมานานเชื่อเราสิ
3) จะเกิดสงครามพระ สงครามพระไฟจะลุกทุกหย่อมหญ้าเลย สงครามพระจะเกิด เชื่อเราไหม เราทำกรรมฐานมานาน มันเป็นกรรมของคนไทย วัดทุ่งฯ ก็เหมือนกับวัดหลวงพ่อสำเภาที่ลพบุรีน่ะ เมื่อตอนหลวงพ่อเภาอยู่นี่เจริญมาก คนกรุงเทพขึ้นอุดมสมบูรณ์มาก ทุกวันนี้วัดเงียบเลย อยู่ที่ลพบุรี เราอยากจะพาพวกลูกศิษย์ไปดู ตอนที่หลวงปู่สังวาลย์อยู่อุดมสมบูรณ์ เราอยากจะพาไปดู มันจะได้รู้ว่า สิ้นเราแล้วเนี้ยสุนัขก็อดข้าว ท่านพูดไว้นะ
หลวงปู่สังวาลย์ พูดเรื่องอนาคตให้ฟังต่อไป  ว่าให้เตรียมตัวไว้   ซึ่ง หลวงพ่อสนอง เคยเปิดเผยว่าพอไม่นานน้ำก็ท่วมภาคใต้จนเกิดสึนามิ" แล้วก็มีคนตายเยอะ ตอนนี้เหลือเพียงแค่ 2เรื่อง  คือ  ศึกพระ กับ น้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่คนจะตายเยอะมาก  ท่านเตือนให้ระวัง ไม่ต้องการให้ตื่นตระหนก  ซึ่งคำทำนายนั้นสอดคล้องกับคำทำนายของ "ปู่อินทร์ตาทิพย์" แห่งเขาตำแย อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
..........................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
..........................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.
..........................................................