วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ศีล๒๒๗

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

ศีล ๒๒๗

ศีล ๒๒๗ ข้อ : ศีลสำหรับพระภิกษุ มีในภิกขุปาฏิโมกข์, เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุด ดังนี้
๑. ปาราชิก ............................. ๔ ข้อ๗. เสขิยะ ๗๕ ข้อ โดยแบ่งเป็น ๔ หมวด คือ
๒. สังฆาทิเสส ....................... ๑๓ ข้อ      สารูป ........................... ๒๖ ข้อ
๓. อนิยต ................................ ๒ ข้อ      โภชนปฏิสังยุตต์ ............. ๓๐ ข้อ
๔. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ .............. ๓๐ ข้อ      ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ ...... ๑๖ ข้อ
๕. ปาจิตตีย์ .......................... ๙๒ ข้อ      ปกิณณกะ ....................... ๓ ข้อ
๖. ปาฏิเทสนียะ ....................... ๔ ข้อ๘. อธิกรณสมถะ ...................... ๗ ข้อ

รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ
      .: อาบัติปาราชิก ภิกษุต้องเข้าแล้วขาดจากความเป็นภิกษุอย่างเดียว
      .: อาบัติสังฆาทิเสส ภิกษุต้องเข้าแล้ว ต้องอยู่กรรมจึงพ้นได้
      .: อาบัตินอกนั้น ภิกษุต้องเข้าแล้ว ต้องแสดงต่อหน้าสงฆ์หรือคณะหรือภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง จึงพ้นได้. 
๑. ปาราชิก มี ๔ ข้อ
๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)

๒. สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
๑. ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
๒. เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
๓. พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
๔. การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
๕. ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
๖. สร้างกุฏิด้วยการขอ
๗. สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
๘. แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๙. แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๐. ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
๑๑. เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๒. เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์

๓. อนิยต มี ๒ ข้อ ( อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

๔. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ ข้อ)
๑. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒. อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
๓. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
๔. ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า
๕. รับจีวรจากมือของภิกษุณี
๖. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
๗. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๘. พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
๙. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
๑๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
๑๑. หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
๑๒. หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
๑๓. ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
๑๔. หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี
๑๕. เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
๑๖. นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
๑๗. ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
๑๘. รับเงินทอง
๑๙. ซื้อขายด้วยเงินทอง
๒๐. ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๒๑. เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒๒. ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๒๓. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
๒๔. แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๒๕. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
๒๖. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๒๗. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๒๘. เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
๒๙. อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
๓๐. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน

๕. ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
๑.ห้ามพูดปด๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๒.ห้ามด่า๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๓.ห้ามพูดส่อเสียด๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ (คดีความ-ข้อโต้เถียง) ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ

๖. ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)
๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า

๗. เสขิยะ : ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท ๗๕ ข้อ แบ่งเป็น ๔ หมวดคือ
 หมวดที่ ๑ : สารูป (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) มี ๒๖ ข้อ
๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล
(ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน


 หมวดที่ ๒ : โภชนปฏิสังยุตต์ (ว่าด้วยการฉันอาหาร) มี ๓๐ ข้อ
๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก๒๕.ไม่ฉันดังซูด ๆ
๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน


 หมวดที่ ๓ : ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ (ว่าด้วยการแสดงธรรม) มี ๑๖ ข้อ
๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลัง ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทาง ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง


 หมวดที่ ๔ : ปกิณณกะ (เบ็ดเตล็ด) มี ๓ ข้อ
๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ

๘. อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป


2 ความคิดเห็น:

  1. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always be love. _/|\_

    ตอบลบ
  2. ททมาโน ปิโย โหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always beloved. _/|\_

    ตอบลบ