วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2564

เจ้าคุณนรฯ

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

พระอริยสงฆ์กลางกรุง เจ้าคุณนร
(พระพระยานรรัตนราชมานิต ธมฺมวิตกฺโก)
     โดย. ดร.สุวิจักขณ์ ภานุสรณ์ฐากูร PhD Buddhist psychology MCU
     ขอกราบท่านเจ้าคุณ ในครั้งนี้ผมตั้งใจจะได้นำเอาประวัติของท่านเจ้าคุณมากล่าวในที่นี่ เพื่อให้เหล่าชนได้ทราบถึง พระสุปฏิปันโน รูปหนึ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินแห่งรัตนโกสินทร์นี้ อีกทั้งเกิดขึ้นในใจกลางกรุงเทพมหานครนี้ด้วย...
     หากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระผม อาจได้กล่าวผิดพลาดไปบ้างในบางช่วงบางตอน ขอท่านเจ้าคุณมีเมตตา งดโทษเหล่านั้นให้กับกระผมด้วยครับ ขอกราบนมัสการถึงท่านเจ้าคุณ ไม่ว่าท่านเจ้าคุณจะสถิติอยู่ ณ.ที่แห่งใดในสากลโลกนี้ หรือดำเนินเข้าสู่นิพพานแล้วก็ตาม กราบ กราบ กราบ...
     ผมเห็นรูปของท่านเจ้าคุณนรมาตั้งแต่เด็ก ๆ เห็นคนเรียกกันว่าเจ้าคุณนร รูปของท่านเจ้าคุณสะดุดในใจผมเพราะ เพราะท่านเจ้าคุณนั่งไม่เหมือนพระรูปอื่น คือเป็นการนับคล้าย ๆ กับพับเพียบ ไม่ใช่การนั่งขัตมาต อย่างที่เห็นคุ้นตา...
     ผมเห็นในรูปนั้นท่านเจ้าคุณยิ้ม เป็นยิ้มที่เปี่ยมเมตตาในขณะที่ดวงตานั้น มีความมุ่งมั่นที่แฝงอยู่ แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดของวัยเด็ก เพราะตอนท่านเจ้าคุณละสังขาร ผมเพิ่งจะสี่ขวบ แม้จะโตขึ้นมาหน่อยชื่อของท่านเจ้าคุณ ผมยังคงได้ยินเรื่อยมา แต่ในเรื่องประวัติของท่านเจ้าคุณนั้น ผมมีความรู้เพียงน้อยนิดมาก...
     รู้แต่เพียงท่านเจ้าคุณเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ 6 อีกทั้งบวชทดแทนคุณรัชกาลที่ 6 ตลอดชีวิตไม่ได้สึก...วันเวลาผ่านไปนำผมให้ได้รู้จักท่านเจ้าคุณเพิ่มมากขึ้น จากคำบอกเล่าของพระอาจารย์ของผมเอง...
     เรื่องมีอยู่ว่าพระอาจารย์ของผม ตอนเป็นโยมได้ขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านไปแถวหน้าวัดเทพศิรินทร์ แล้วรถของท่านล้มในขณะที่รถสิบล้อวิ่งมาพอดี เหตุการณ์ในครั้งนั้นต้องถึงแก่ชีวิต เพราะรถสิบล้อที่วิ่งมาจะต้องทับท่านแน่นอนแต่...
     ท่านเหมือนมีใครไม่รู้ มาฉุดท่านให้ลุกขึ้นจากถนนอย่างรวดเร็ว ผ่านจากล้อของรถ ที่จะวิ่งเข้ามาทับไปได้อย่างหวุดหวิด ท่านรอดพ้นความตาย รีบหันไปทางมือที่ฉุดท่านมา...ใช่ครับภาพที่พระอาจารย์ของผมเห็นคือเจ้าคุณนร...
     พระอาจารย์ของผมบวชในเวลาต่อมา และตั้งใจอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา ท่านกล่าวว่า ท่านตายไปแล้วในวันนั้น ที่เกิดใหม่มาได้เพราะเจ้าคุณนรมาช่วย นั่นคงเป็นความตั้งใจของท่านเจ้าคุณ ที่จะให้พระอาจารย์ของผมเป็นอีกหนึ่งเรี่ยวแรง ในการสืบสานศาสนาพระพุทธศาสนาก็เป็นไปได้...
ตรงนี้ขอกล่าวให้ชัด ๆ ว่า ตอนที่พระอาจารย์ของผมประสบอุบัติเหตุที่หน้าวัดเทพศิรินทร์นั้น ท่านเจ้าคุณได้ละสังขารไปหลายปีแล้ว...
     ต่อจากนี้ไปคือประวัติและเรื่องราวบางส่วนของท่านเจ้าคุณนร ผู้ที่พระอาจารย์ของพระกล่าวว่าเป็นพระอรหันต์กลางกรุง...
     ท่านเจ้าคุณเกิดในกรุงเทพ เป็นผู้ที่เรียนหนังสือเก่งมาตั้งแต่เด็ก ที่เรียนเก่งนั้นท่านกล่าวว่าท่านตั้งใจเรียน มีจิตใจที่มุ่งมั่นในความเป็นหนึ่ง เป็นหนึ่งไม่เกี่ยวกับเป็นเลิศ ท่านอธิบายว่าเป็นหนึ่งคือเป็นเอกคตาจิต จิตไม่วอกแวก มีความตื่นรู้ ระลึกในสติชอบ...
     ท่านเรียนเก่งเมื่อสำเร็จการศึกษา จึงมีโอกาสที่จะได้เข้ารับราชการ ในกระทรวง กรม กอง ต่าง ๆ หากแต่ว่า ชีวิตมีจุดเปลี่ยนที่ทำให้ท่านต้องเข้าวังเพื่อรับใช้ใกล้ชิดในหลวง เรื่องมีว่า...
     ท่านได้มีโอกาสไปฝึกเสื้อป่า ที่รัชกาลที่ 6 ทรงจัดตั้งขึ้น ในระหว่างการฝึกท่านได้รับตำแหน่งเป็นคนเดินสาร ซึ่งท่านมีรูปร่างที่เล็กและบอบบางมาก รัชกาลที่ 6 จึงมีพระดำริถามว่า ตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ ถ้าเจอศัตรูจะสู้เขาได้หรือ ท่านได้ตอบกับรัชกาลที่ 6 ไปว่า สู้ได้ไม่ได้ก็ต้องลองสู้ดู...
     เป็นคำตอบที่ต้องพระราชหฤทัยมาก จึงชวนให้ท่านเข้ามาอยู่ในวังรับใช้เป็นมหาดเล็ก ท่านมาอยู่ในวังช่วงแรก ๆ นั้นก็โดนกลั่นแกล้งหลายอย่าง แต่ท่านก็มีขันติอดทน เพราะถือว่าเป็นผู้ที่เข้ามาใหม่...
     แต่ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่ตั้งใจ สนองงานรับใจอย่างเต็มกำลังสามารถ ทำให้ท่านมียศมีตำแหน่งสูงขึ้น จนเกินจากผู้ที่เคยกลั่นแกล้งท่าน จริงแล้วท่านมีโอกาสที่จะชำระคืน แต่ท่านไม่ทำ ท่านให้อภัยทาน ซึ่งถือว่าเป็นทานอันสูงสุด ซึ่งเราทุกคนก็สามารถให้กันได้ แต่ไม่ค่อยจะให้กัน...
     ตอนที่ท่านอยู่ในวัง ท่านยังคงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้านภาษาศาสตร์ กายวิภาคศาสตร์ จนถึงขั้นเรียนรู้ทางด้านของการผ่าศพ ผู้ที่เป็นอาจารย์ของท่าน มอบกุญแจของเก็บศพให้ท่านถือไว้เป็นประจำ เผื่อว่ามีความประสงค์จะเรียนรู้ในการวิภาคศาสตร์ได้ตลอดเวลา...
     นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ท่านปลงในสังขารรูปมาแต่แรกเริ่ม ในขณะที่พระราชดำเนินตามเสด็จที่พระราชวังบางปะอิน ผู้อื่นเขาสนุกสนานกับงานเลี้ยง หากแต่ท่านกลับปลีกตัวไปวิเวกตามป่าช้า ซึ่งเป็นเช่นนั้นเสมอมา...
     สำหรับความสัมพันธ์ของทางกับในหลวงนั้น ได้เป็นที่วางในพระราชหฤทัยมาก มีคำกล่าวว่า ในหลวงอาจกริ้วคนอื่น แต่ไม่เคยกริ้วต่อท่านเลย ท่านทำงานใกล้ชิด เพราะอยู่ในส่วนของห้องบรรทม ในหลวงให้ยศเป็นพระยานรรัตนราชมานิต ซึ่งแปลว่า “เป็นคนดีของพระเจ้าแผ่นดิน”...
     ในหลวงรัชกาลที่ 6 ตรัสกับท่านว่า “ตรึก เราเป็นเพื่อนกันนะ แต่เมื่อออกงานเราถึงจะเป็น เจ้ากับบ่าว” ส่วนท่านเคยพูดเรื่องเช่นนี้กับในหลวงว่า “รักในหลวง และสามารถตายแทนได้ทันที” (ตรึกนั้นเป็นชื่อเล่นของท่าน)...
     24 มีนาคม 2468 ท่านได้บวชอุทิศเป็นพระราชกุศลถวายแด่ในหลวงที่ท่านรัก ตั้งใจว่าจะบวชแค่พรรษาเดียว แล้วจะกลับไปรับราชการอีกทั้งทางบ้านได้หาผู้ที่จะเป็นศรีภรรยาไว้ให้ด้วย...
     หนึ่งพรรษาผ่านไป ขอต่ออีกให้ครบ 3 พรรษา พอผ่านจาก 3 พรรษา ท่านเจ้าคุณก็ไม่คิดจะกลับมามีชีวิตอย่างผู้ครองเรือนอีกเลย ท่านเจ้าคุณ อยู่ในเพศบรรพชิต เป็นที่เคารพนับถือจากผู้คนมากมายด้วยปฏิปทาที่ตั้งมั่นด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ตลอดอายุขัยที่เหลือของท่านเจ้าคุณ...
     แต่กระนั้นท่านเจ้าคุณยังมีสัจจะ อันถือว่าเป็นหนึ่งในบารมีสิบ นั้นคือท่านเจ้าคุณสัจจะว่า ที่บวชของท่าน คือที่ตายของท่าน ดังนั้นตั้งแต่ท่านเจ้าคุณบวช จนกระทั้งละสังขาร ท่านเจ้าคุณไม่เคยก้าวเท้าออกจากวัดเทพศิรินทร์เลย หรืออาจมีเพียงครั้งเดียว ครั้งเมื่อช่วยพระอาจารย์ของผมให้รอดชีวิต ก็ต้องลองคิดกันดู...
     ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะละสังขาร ท่านเจ้าคุณอาพาตด้วยโรคตับ ซึ่งอยู่ภายในร่างกายมองไม่เห็น ท่านเจ้าคุณได้อธิฐานจิต ย้ายโรคภัยที่เกิดขึ้นตรงตับนั้น มาไว้บริเวณลำคอ เพื่อง่ายต่อการพิจารณาธรรม เห็นถึงความไม่เที่ยง เห็นถึงความเกิด ความแก่ ความเจ็บได้อย่างชัดเจนขึ้น...
     ท่านเจ้าคุณละสังขาร วันที่ 8 มกราคม 2514 (73 ปี 337 วัน) พรรษา 46 ในหลวงภูมิพลและพระนางเจ้าได้เสด็จ มาในงานตลอดจนปลงร่างสังขาร...
     ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านผลงานนะครับ หากเห็นว่าเป็นบทความที่มีประโยชน์ฝากแชร์ด้วยครับ...
เครดิต ; FB ต้นสาระ
.....................................................
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
.....................................................
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always be love.
.....................................................


1 ความคิดเห็น:

  1. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always be love. _/|\_

    ตอบลบ