วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

หินทับหลัง

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
หินทับหลัง “พระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้ว” ศิลปะประดับยอดสันหลังคากำแพงบายน   
รูปแบบกำแพงล้อมรอบศาสนสถาน ยุคเมืองพระนครตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา นิยมใช้ศิลาแลง (Laterite) เป็นวัสดุหลักในการก่อ รองพื้นด้วยทรายละเอียดอิ่มน้ำ ส่วนฐานกำแพงวางเรียงหินกว้าหนา ส่วนฐานล่างติดกับรากทำเป็นบัวเชิง เดินเส้นลวดขีดสลักเป็นเส้นยาวเข้าไปในเนื้อหิน ผนังกำแพง (ท้อง) มีความแคบกว่าส่วนฐาน ก่อขึ้นทั้งแบบตั้งตรงและแบบแอ่นท้องเล็กน้อย ก่อนไปขยายเป็นบัวยอดชุดใหญ่ด้านบน สกัดเป็นเส้นลวดเป็นคิ้วรองใต้หน้ากระดาน ด้านบนสุดของกำแพงทำเป็นโค้งประทุนเรือ หรือ สามเหลี่ยม เป็นหลังคา (จำลอง) บนสันยอดสุดจะเซาะร่องตรงกลางเพื่อวางแนวหินสลักเป็นหินทับหลังเพื่อประดับส่วนยอดกำแพงแบบอีกที
หินทรายสลักเป็นทับหลังประดับบนสันยอดกำแพง นิยมทำเป็น “บราลี” แบบหม้อน้ำต่อฝายอดแหลมมน เจาะพื้นสันกลางเป็นเดือยปักวางเรียงเป็นแถว ในความหมายว่าตัวกำแพงคือเรือนวิมาน (มีหลังคา) ที่ล้อมรอบศูนย์กลางจักรวาล ยอดกำแพงจึงทำหลังคาโค้งแบบเดียวกับหลังคาวิมานที่มีการปักประดับเครื่องบราลี ซึ่งในเวลาต่อมา ได้มีการพัฒนารูปทรง อย่างแท่งบราลีโค้งขึ้นไปเป็นสันแหลมที่ต่อกันเป็นแท่งยาววางบนสันกำแพง ที่พบจากปราสาทกู่เปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น
ในยุคจักรวรรดิบายน ช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ยังคงมีความนิยมในการประดับสันหลังคากำแพงด้วยหม้อน้ำบราลีทั้งแบบสั้นและยาว แบบติดกันและแยกออกจากกัน ทำจากหินศิลาแลงและหินทราย แต่ก็ได้เกิดความนิยมในการสร้างสรรค์งานศิลปะรูป “พระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้ว” ในซุ้มสามเหลี่ยมต่อกันเป็นแท่งยาว มาวางเรียงเป็น “ทับหลัง” ประดับบนยอดสันหลังคากำแพง ตามคติความเชื่อในพุทธศาสนามหายาน-วัชรยาน ที่เป็นความนิยมของราชสำนักในช่วงเวลานั้น
ภาพสลักพระพุทธเจ้าปางสมาธิ  หรือ “ธยานะมุทรา” (Dhyana Mudra) ในกรอบซุ้มสามเหลี่ยมเรือนแก้ว – ใบระกา ตวัดปลายเป็นกระหนกหัวนาค ต่อกันเป็นแท่งละ 2 – 3 กรอบ ของทับหลังยอดกำแพง มีความหมายถึง “พระตถาคต-พระพุทธเจ้า” ใน “มหามันดารา – พุทธเกษตร” (Mandala Universe -  Buddha-kṣetra) จักรวาลแห่งผู้บรรลุสู่ความเป็นพุทธะ-โพธิสัตว์) จำนวนมากมายที่สถิตอยู่ในแต่ละทิศ ล้อมรอบศาสนสถานที่หมายถึงศูนย์กลางจักรวาลอันเป็นที่สถิตแห่งพระพุทธเจ้าสูงสุด หรือพระมหาไวโรจนะ-วัชรสัตว์พุทธะ (Mahāvairocana – Vajrasattva Buddha) หรือพระอาทิพุทธะ ( Ādi – Buddha)  พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ให้กำเนิดพระฌานิพุทธเจ้า “ปัญจสุคต” (Paῆca Sugatā) ทั้ง 5 พระองค์
งานประดับหินสลักรูป “พระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้ว” ของทับหลังบนยอดหลังคากำแพง ในช่วงศิลปะนิยมแบบบายน นิยมใช้กับศาสนสถานทางพุทธศาสนาที่มีความสำคัญ ระดับ “ราชวิหาร”  (ราชวิภาระ - ราชวิภารนามฺนี” (Rājavibhāra nāmnī)  หรือ “ศาสนวิหาร” ในความหมายของ “พระอารามหลวง” ทั้งในเขตเมืองพระนคร  อย่าง ปราสาทตาพรหม ปราสาทพระขรรค์ ปราสาทบันทายกุฎี ปราสาทตาสม ปราสาทตาไน ปราสาทบันทายธม หลายแห่งต่างก็มีการประดับทับหลังกำแพงแบบเดียวกัน อีกทั้งนอกพระนคร อย่างที่ปราสาทบากันที่กำปงสวาย ปราสาทตาพรหมโตเลบาตี ปราสาทนอร์กอบาเจ็ย ปราสาทบันทายฉมาร์
แต่เมื่อถึงยุคการฟื้นฟูคติฮินดู  ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 กษัตริย์ผู้ศรัทธาลัทธิเทวราชาไศวะนิกาย ได้เกิดการทุบทำลายรูปของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ในคติวัชรยาน ที่กระทำขึ้นอย่างเป็นระบบ จนแทบไม่มีรูปประติมากรรมทางพุทธศาสนาที่ยังคงความสมบูรณ์เหลือรอดมาจนถึงในปัจจุบัน
รูปเคารพในคติความเชื่อความศรัทธาจากยุคจักรวรรดิบายน ที่เคยประดิษฐานในอาคารศาสนสถานในคติพุทธศาสนาวัชรยาน ก็ถูกรื้อถอน มัดฉุดลากออกจากที่ตั้ง พระพุทธรูปใหญ่แห่งจักรวรรดิที่ปราสาทบายน ก็ถูกทุบทำลายทิ้งลงในบ่อน้ำใต้ปราสาทให้จมดิ่งลงสู่ใต้โลก ในหลายพระอารามราชวิหารมีการทุบทำลายก่อนแล้วค่อยนำไปฝังกลบ ส่วนของใบหน้ารูปสลักที่เหลือรอด ก็ยังปรากฏร่องรอยของการทุบตี ทั้งแบบตีแรง ๆ ตีถี่ ๆ ให้กะเทาะ จนส่วนที่ยื่นออกมาอย่างพระนาสิก พระเนตรหรือพระกรรณแตกหัก พระเศียรถูกทุบแยกออกจากพระวรกายเกือบทุกรูป 
รูปสลักพระพุทธเจ้าที่ประดับอยู่บนทับหลังสันหลังคากำแพงในเขตอำนาจเมืองพระนครยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 นอกจากแบบที่ยังไม่ได้สลัก ก็จะถูกสกัดทำลายแทบทั้งหมด หรือไม่ก็ถูกสลักแก้เป็นรูปฤๅษีสวดภาวนาในท่านั่งโยคะสนะ ซึ่งก็ยังคงมีรูปสลักพระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้วอีกหลายชิ้น เหลือรอดหลงหูหลงตาของผู้รับเหมาทำลายอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมืองที่อยู่นอกอำนาจเมืองพระนครหลายแห่ง อย่างที่ปราสาทบันทายฉมาร์ ปราสาทตาพรหมแห่งโตนเลบาตี ก็ไม่ได้ถูกกะเทาะทำลายตามเมืองในอำนาจของราชสำนักยุคนั้นไปด้วย
--------------------------------------
*** ที่วิษัยนคร “ชยราชปุรี” (Jaya-Rájapurí) ชื่อนามเมืองที่ปรากฏในจารึกปราสาทพระขรรค์ (K.908) บทที่ 114 -121   ที่กล่าวถึงเรื่องของการถวาย "พระรัตนตรายา" (Ratnatraya) "ชัยพุทธมหานาถ” (Jayabuddhamahánáthas) ไปยังเมือง 23 วิษัย (Viṣaya) สำคัญทั่วจักรวรรดิบายน หรือ บริเวณวัดมหาธาตุราชบุรี ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง เป็นที่ตั้งของศาสนวิหารแบบพระอารามหลวงสำคัญในยุคจักรวรรดิบายน ศูนย์กลางของวิษัยชยราชปุรี  ที่ยังคงปรากฏร่องรอยของซากชิ้นส่วนของหินศิลาแลงและเศษชิ้นส่วนของหินทรายสีแดงที่กระจายอยู่โดยทั่วไป ทั้งที่เป็นฐานของอาคารปราสาทประธาน บรรณาลัย ระเบียงคดและซุ้มประตูโคปุระ รวมทั้งเศษชิ้นส่วนของงานสลักหินทรายประดับปราสาทและรูปประติมากรรม
แต่ที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุดจากยุคจักรวรรดิบายน คือ อาคารโคปุระทิศตะวันออก และกำแพงศิลาแลง ที่มีการประดับทับหลังยอดสันหลังคารูปพระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้ว ที่ทำขึ้นจากหินทรายแดง ยังคงปรากฏลวดลายอยู่อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ได้ถูกสกัดออกแบบเดียวกับราชวิหาร – ศาสนวิหารเมืองพระนคร
ก็อาจนับได้ว่า กำแพงที่มีการประดับทับหลัง “พระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้ว บนยอดสันหลังคา ที่วัดมหาธาตุราชบุรี นี้ เป็นกำแพงจากยุคจักรวรรดิบายนที่คงเหลือรอดมาจากยุคสมัยแห่งความรุ่งเรือง ที่ยังคงสมบูรณ์แบบ งดงามมากที่สุดแล้วจากกำแพงในยุคจักรวรรดิบายนทั้งหมด
-------------------------
*** ส่วนที่วิษัยนคร “ศรีชยสิงหบุรี” (Śrí Jaya-Siṃhapurí) หรือ “ปราสาทเมืองสิงห์” ริมแม่น้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี ยังมีโครงหินที่สกัดจากหินศิลาแลง (หินทรายไม่ใช่วัสดุที่พบในท้องถิ่น) รูปสามเหลี่ยมต่อเนื่อง เหลือให้เห็นบนยอดสันหลังคากำแพงที่ล้อมรอบตัวปราสาท ยังไม่มีร่องรอยการปั้นปูนประดับเป็นรูปพระพุทธเจ้าในซุ้มเรือนแก้ว
เครดิต ;
วรณัย พงศาชลากร
EJeab Academy
เพราะทุกที่มีเรื่องราวและเรื่องเล่า

1 ความคิดเห็น:

  1. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always be love. _/|\_

    ตอบลบ