วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2564

เกษียรสมุทร

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก A giver is always beloved.

“กวนเกษียรสมุทร” แห่งปราสาทเขาพระวิหาร
....ภายหลังจากที่เหล่าเทพเจ้าโดนคำสาปให้อ่อนแอ โดยพระ “ฤๅษีทรุวาส” (Sage Durvasa) เจ้าอารมณ์  จนไร้ทางต่อสู้กับพวกอสูร จึงเกิดเป็นเรื่องราวปกรณัม ตอน “การกวนเกษียรสมุทร” (The churning of the Ocean of Milk) และ “กูรมาวตาร” (Kurma Avatar) ที่เหล่าเทพเจ้าและอสูร ต่างร่วมมือกันกวนน้ำยาอายุวัฒนะ หรือ”น้ำอมฤต” โดยใช้แกนของโลกมนุษย์ เขา “มัทรคีรี” (Mandaragiri) 1 ใน 4 มหาคีรีที่รายล้อมเขาพระสุเมรุ มาใช้เป็นไม้กวน “พญานาควาสุกรี” สายนาคสังวาลแห่งองค์พระศิวะ ถูกนำมาใช้เป็นเชือกพันรอบคล้องเขามัทรคีรี เพื่อใช้ยุดฉุดทั้งสองฝั่ง...
...การกวนเกษียรสมุทรสะเทือนเลื่อนลั่น เหล่าสิ่งมีชีวิตในทะเลน้ำนม ถูกแรงกระแทกจนร่างแหลกสลาย เขามันทรคีรีทำท่าจะทะลุพื้นเกษียรสมุทรลงไปสร้างความพินาศแก่โลกมนุษย์ องค์พระวิษณุประธานแห่งทวยเทพจึงได้อวตารเป็นเต่ายักษ์นามว่า “กูรมะ” เอากระดองหลังเข้ารองรับแรงกระแทกเสียดสีของเขามัทรคีรี ที่ปลายเสาใต้ทะเล มิให้ทะลุลงไปยังโลก...
....ฝ่ายอสูรยุดนาคทางด้านเศียร ส่วนฝ่ายเทวดานั้นยุคนาคทางด้านหาง ยุดฉุดสลับกันเป็นเวลานานนับพันปี ก่อนที่น้ำทะเลที่ผสมด้วยพืชพันธุ์สมุนไพรจะเริ่มเหือดแห้ง ภายหลังการเคี่ยวกวนน้ำอมฤตกันมายาวนานจนเกือบกลายเป็นตังเม จึงบังเกิด “สิ่งมงคลอันเป็นอัศจรรย์” ในระหว่างการเคี่ยวยาอมฤตให้เข้มข้น เคี่ยวกันจนเกล็ดทองของพญาวาสุกรีถลอกปอกเปิก....
....สิ่งมงคลอย่างแรกที่บังเกิดจากการกวนเกษียรสมุทร คือ “แม่โคกามเธนุ” หรือ “โคสุรภี” (ผู้บันดาลทุกอย่างตามที่ปรารถนา) ติดนมเนยพร้อมเครื่องหอมขึ้นมาด้วยอย่างมากมาย ในความหมายของความอุดมสมบูรณ์ พระฤๅษีกัศยปะเทพนำแม่โคไป แล้วจัดส่งลูกวัวตัวผู้นามว่านนทิ กลับมาถวายแก่พระศิวะเทพ...    
...ถัดมาเป็น ม้าแก้วแปดหัวนาม “อุไฉศะรพ” พระสูริยะได้นำม้าไปใช้เทียมราชรถ บางปุราณะว่าพระอินทราเทพยกให้ท้าวพาลี หัวหน้าเหล่าอสูร  อันดับสาม คือ “ช้างเอราวัณ” ช้างสามเศียรสีขาว มีงาสี่กิ่ง องค์อินทราเทพเอาไปใช้เป็นพาหนะ อันดับสี่คือแก้ว “มณีแก้วเกษฏุก-เกาสตุภะ”  (อธิษฐานอะไรก็ได้) พระวิษณุนำไปเป็นเครื่องประดับ  อันดับห้าคือ  “ต้นปาริชาติ” พฤกษาชาติที่มีกลิ่นหอมลึกถึงวิญญาณ ที่ว่าบุคคลใดได้กลิ่นก็จะหลงในห้วยมหรรณพจนถึงขั้นระลึกชาติได้...
...อันดับหก คือ “นางอัปสรสุดา” จำนวน  60 โกฏิ นางสุรางคณาผู้บำเรอเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ โฉมงามผู้เย้ายวนที่ผุดขึ้นมามากมายจากฟองคลื่นอมฤต
อันดับเจ็ด คือ “เสี้ยวจันทรา” ที่องค์ศิวะมหาเทพคว้าไปปักที่มวยพระเกศา ...
....อันดับแปด  “เทวีลักษมีถือดอกปทุมา ประทับในดอกบัวหลวง” เมื่อดอกบัวหลวงเปิดออก เกิดเป็นเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังกึกก้อง  “อรรธมาตังค์” หรือเหล่าคชสารแห่งนภากาศ ต่างพากันเทน้ำบริสุทธิ์จากหม้อทองคำชำระพระวรกายให้กับพระนางที่ยังมีเรือนร่างเปลือยเปล่า พระวิษณุนำผ้าอาภรณ์มาคลุมกายให้ เหล่าทวยเทพและอสูรต่างหวังแย่งชิงจะได้ครอบครองนางเป็นชายา แต่องค์พรหมเทพผู้อาวุโสได้ขอให้นางตัดสินใจเลือกเอง  พระลักษมีไม่ได้แลมองใครเลย ทรงเลือกถวายดอกบัวคู่ในพระหัตถ์แด่องค์วิษณุเทพ  ก้มกราบพระบาทขอเป็นพระชายาในทันที  ("ปดิวรัดา"  นางผู้รักและมั่นคงในสามี)....
อันดับที่เก้า คือ  “วารุณี” เทวีแห่งสุรา ธิดาแห่งพระวรุณ ด้วยเพราะนางไม่ได้ลอยขึ้นมาตัวเปล่า แต่ในมือของนางถือคนโทเหล้าน้ำหมักไร้สีดั่งวอสก้าขึ้นมาด้วย ผู้ที่ได้เคยลิ้มลองอย่างเช่นเหล่าอสูรจะไม่ให้ความสนใจในตัวนาง เพราะเทวีวารุณีคือต้นเหตุที่ทำให้เหล่าอสูรซึ่งอดีตเคยเป็นเทวดาบนสรวงสวรรค์ ถูกหลอกให้ดื่มเมรัยจนเมามาย แล้วถูกอินทราเทพขับไล่ลงจากมา เทพผู้พ่ายแพ้ต่างพากันสาบานตนว่าจะไม่แตะต้องน้ำเมาใด ๆ อีกเลย เพราะเป็นต้นเหตุให้พวกอสูรเมาหัวราน้ำ จนรบแพ้ ถูกขับตกจากสวรรค์ จึงเป็นที่มาของชื่อ “อสุรา” หรือ “อสูร” (ที่แปลว่างดเหล้าแม้ไม่ใช่วันเข้าพรรษา)
...อันดับสิบคือ   “ปัญจชันยสังข์” สังข์แห่งชัยชนะ  พระวิษณุดอยไป อันดับสิบเอ็ด “หริธนู” หรือธนูที่ยิงไปไม่มีวันพลาดเป้า ว่ากันว่า พระหริ (วิษณุ – นารายณ์) ก็ดอยไปอีก
...อันดับสิบสอง ปรากฏเป็นอัปสรานามว่า “รัมภา” เป็นนางอัปสรไทวิกะที่มีความงดงามที่สุดในจักรวาล
...อันดับสิบสาม ก่อนที่จะเกิดน้ำอมฤต เกิดฟองพิษ “พิษหลาหล” หรือ “กาลกุต”  กระจายตัวไปทั่วมหาสมุทร เป็นพิษที่เกิดจากสมุนไพรพิษและพิษของนาควาสุกรีที่พ่นออกมาออกมาอย่างลืมตัวเพราะความเจ็บปวด (ก็แน่ละสิ เอาลำตัวเป็นเชือกไปพันรอบไม้เคี่ยวอย่างเขามันทรคีรี) เหล่าเทพเจ้าและอสูรไม่อยากเข้าใกล้ พระศิวะเห็นว่าหากพิษร้ายได้ตกลงมายังโลก ก็จะเกิดเป็นเพลิงกาฬทำลายมนุษย์และโลก จึงดื่มพิษหลาหลเสียเอง เทวีปารวตีชายาของพระศิวะเกรงว่าพระสวามีจะเกิดเป็นอันตราย จึงบีบพระศอของพระศิวะไว้ไม่ให้พิษล่วงพ้นลงไปภายใน แต่ด้วยความร้อนแรงแห่งพิษทำให้พระศอของพระองค์กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ด้วยเหตุนี้  องค์ศิวะมหาเทพจึงมีอีกสองพระนาม คือ  “วิษกัณฐ์” หมายถึง ผู้มีพิษอยู่ที่คอ  และ “นิลกัณฐ์” ....ที่มีความหมายถึง ผู้มีคอสีน้ำเงิน (จากเทพปกรณัมนี้ จึงมีการเปรียบความรักว่า สีแห่งความรักที่แท้จริง คือสีน้ำเงินดำหรือสีดำบนพระศอของศิวะมหาเทพ ผู้เสียสละด้วยความรักอันยิ่งใหญ่แก่จักรวาล)
....ในระหว่างการบีบพระศอ  ก็มีพิษบางส่วนกระเซ็น กระเด็นลงสู่โลกมนุษย์ สัตว์และพืชที่โดนหรือตั้งใจดื่มพิษนั้น ก็จะกลายเป็นสัตว์และพืชที่มีพิษร้ายในโลก ท้ายสุดจึงได้บังเกิดเป็นองค์ “ธันวันตริ” (Dhanvantari) มหาแพทย์แห่งสรวงสวรรค์ ทูน "หม้อน้ำอมฤต (Amarita)" ผุดขึ้นมาจากมหาสมุทร....
----------------------------
ที่หน้าบันซุ้มประตูชั้นนอกของมุขด้านทิศใต้ โคปุระชั้นที่ 3 ปราสาทเขาพระวิหาร มีภาพสลักเรื่องราวปกรณัมในตอนกวนเกษียรสมุทร แบบภาพสมมาตร มีเขามัทรคีรีในรูปแบบของแท่งเสาแบ่งตรงกลางภาพ พระวิษณุ 4 กร ประคองแท่งเสา มีพญานาควาสุกรีใช้ตัวพันเสา อสูรยุดอยู่ด้านขวา 3 ตน เทพเจ้ายุดอยู่ทางด้านซ้ายของภาพ 3 องค์ ปลายเสาด้านล่างเป็นรูปเต่า มีหม้ออมลกะอยู่บนหลังกระดอง ปรากฏรูปม้าอุจไฉศะรพ และรูปบุคคลชายในท่าชันเข่า ที่หมายถึงเทวแพทย์ "ธันวันตระรี" ผู้ทูนหม้ออมฤต  ที่ด้านข้าง
ด้านล่างขวามือของภาพ เป็นภาพของพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ด้านซ้ายของภาพ เป็นภาพพญาครุฑ โดยมี นาง "ปุณิฑาวาธียาร์” (Punithavathiyar) หรือ “กาไลการ์ อัมไมยาร์” (Kāraikkāl Ammaiyār -Karaikkal Ammaiyar) สาวกหญิงแห่งองค์พระศิวะที่มีร่างกายผอมแห้ง  ตรงมุมของกรอบภาพ
ถัดขึ้นไปด้านบน ส่วนกลางของภาพสลักเป็นรูปของ  “สัปตฤๅษี” (Saptarishis) มหาฤๅษีทั้ง 7 ผู้เป็นใหญ่ในคติไศวะนิกาย ที่ประกอบด้วย กัศยปะ(Kashap) อตริ (Atri) วศิษฐ์ (Vashistha) เกาตมะ (Gautam) อังคีรส (Angiras) ภรัทวาช (Bhardwaja) และวิศวามิตรฤๅษี (Vishwamitra)  สวดภาวนาพระเวทอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างการกวนเกษียรสมุทร
ด้านบนของกรอบภาพเป็นภาพบุคคลในกรอบวงกลม ได้แก่พระอาทิตย์และพระจันทรา เป็นพยานของความยาวนานที่เป็นนิรันดร์ “ตราบเท่าที่สูริยันและจันทรายังคงปรากฏอยู่” และภาพของพระพรหมสี่พักตร์ ผู้เป็นประธานแห่งพิธีบนยอดเสาเขามัทรคีรี

Credit ; FB
วรณัย  พงศาชลากร
EJeab Academy
ยังมีสาระเรื่องราวดี ๆ ที่อยากเล่าตามมาดูเราได้ที่ ;
My blogs link 👆
https://sites.google.com/site/dhammatharn/
http://abhinop.blogspot.com
http://abhinop.bloggang.com
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
A giver is always beloved.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น