วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระเจ้า๕พระองค์


ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
ความเชื่อในเรื่องตำนานการถือกำเนิดของพระเจ้า 5 องค์ เป็นตำนานทางพระพุทธศาสนาที่มีเล่าสืบทอดต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน เนื้อความพอที่จะสรุปได้ดังนี้ นานมาแล้วยังมีกาเผือก(กาขาว)ผัว-เมียทำรังอยู่บนไม้ใหญ่ริมธารน้ำในป่าหิมพานต์ อยู่มาวันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหาอาหารไกลจากรังตนจนหาทางกลับมารังไม่ถูก ทำให้นางกาต้องออกตามหา แต่เนื่องด้วยนางกาเป็นห่วงไข่ในรังทั้ง 5 ใบจึงจำต้องย้อนมากกไข่ก่อน วันหนึ่งเกิดพายุขนาดใหญ่ซัดกระหน่ำใส่รังจนไข่ทั้ง 5 ใบถูกกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดพัดหายไปไกลสุดลูกหูลูกตา นางกาเองก็ถูกพายุลูกนั้นซัดจนไกลห่างออกไปจากรังมาก ครั้งพายุสงบลงนางกากลับมาที่รังก็ไม่พบไข่ทั้ง 5 ใบ นางจึงกลั้นใจตาย ณ ที่แห่งนั้น ส่วนกาฝ่ายสามีที่กระเสือกกระสนหาทางกลับมายังรังจนเจอด้วยความยากลำบากกลับพบเพียงความว่างเปล่าภายในรังก็เศร้าโศกเสียใจเป็นยิ่งก็กลั้นใจตายตามไป(โดยภายหลังกาเผือกทั้ง 2 ได้ไปเกิดใหม่ในพรหมโลกได้นามว่า พกาพรหม) ส่วนไข่ทั้ง 5 ใบนั้นปรากฏว่าได้ลอยไปติดยังตลิ่ง ณ ที่ต่างๆโดยมีแม่สัตว์ทั้ง 5 ชนิดนำไข่ไปเลี้ยงดูฟูมฟักจนครั้งไข่แตกฟักออกมาเป็นตัวกลับกลายเป็นมนุษย์รูปงาม เป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ตามลำดับดังนี้
1.พระกุกกุสันโธ                                          แม่ไก่เก็บไปเลี้ยง
2.พระโกนาคมโน                                         แม่นาคเก็บไปเลี้ยง
3.พระมหากัสสโป                                        แม่เต่าเก็บไปเลี้ยง
4.พระโคตโม(พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)                  แม่โคเก็บไปเลี้ยง
5.พระศรีอาริยเมตเตยโย(พระศรีอารย์)                  แม่ราชสีห์เก็บไปเลี้ยง

               จากตำนานเรื่องการถือกำเนิดของพระเจ้า 5 องค์ดังที่กล่าวมาข้างต้น พอที่จะสรุปเนื้อความได้ว่า ตำนานเรื่องนี้พยายามสอนหรือบ่งชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของสิ่งต่างๆว่าทุกชีวิตล้วนมีความหมายและมีคุณค่าในตัวของมันเอง อย่าพยายามมองรูปลักษณะของสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยดวงตาเพียงอย่างเดียวแต่ให้ใช้ดวงใจในการมองเห็นควบคู่กันไปด้วย ซึ่งแม้นว่าจะเป็นสัตว์สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าต่างพันธุ์ หากแต่มีจิตใจสูงส่งก็ย่อมส่งผลสามารถฟูมฟักเลี้ยงดูสิ่งดีงามให้ปรากฏออกมาได้ ดังที่แม่สัตว์ทั้ง 5 เก็บไข่ได้แล้วนำไปฟูมฟักเลี้ยงดูจนปรากฏเป็นมนุษย์รูปงามและกลายมาเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 องค์ตามลำดับ 


ในสมัย ต้นปฐมกัป มีพญากาเผือกสองตัวผัวเมีย ทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันเป็นธรรมชาติสถาน รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาต่อมา พระโพธิสัตว์ ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์แม่พญากาเผือก พร้อมกันถึง ๕ พระองค์ เมื่อครบทศมาส แม่กาเผือกก็ออกไข่ ณ ที่รังต้นมะเดื่อ จำนวน ๕ ฟอง (สถานที่นี้ในกาลต่อมาเรียกว่า วัดพระเกิด) และคอยเฝ้า ดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี อยู่ มาวันหนึ่งพญากาเผือกออกไปหากินถิ่นแดนไกลไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันสมบูรณ์ ด้วยธรรมชาติ แม่กาเผือกเพลินหากินอาหาร ชื่นชมกับธรรมชาติจนมืดค่ำ เกิดลมพายุใหญ่พัดกระหน่ำมืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้หาหนทางออก ไม่ถูก จึงหลงอยู่ในบริเวณสถานที่นั้น (สถานที่นั้นในกาลต่อมาเรียกว่า เวียงกาหลง) แม่กาเผือกได้อยู่ที่เวียงกาหลง คืนหนึ่ง จนเช้าจึงรีบถลาบินกลับที่พัก แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อที่ทำรังอยู่ถูกลมพายุใหญ่พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกที่ยังอยู่ในไข่ แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ในที่สุดก็สิ้นใจตายอย่างน่าสงสาร

แต่ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์กับทั้งที่ลูกของแม่กา เผือกเป็นพระโพธิสัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกไปจุติยังแดนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ได้พระนามว่า ?ฆติกามหาพรหม? จักได้เป็นผู้ถวาย อัฏฐะบริขาร บวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนไข่ทั้ง ๕ ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่าง ๆ ไข่ฟองที่ ๑ แม่ไก่เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๓ แม่เต่า เก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา

ครั้นในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ ปรากฏเป็นมนุษย์บุรุษรูปงานทั้ง ๕ พระองค์ และเจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงด้วยความกตัญญู รู้จักหน้าที่ ทดแทนบุญคุณจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่งก็มีจิตคิดที่จะออกบวชบำเพ็ญเนกขัมมะบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่า จึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั้ง ๕ พระองค์ ฝ่ายแม่เลี้ยงก็ไม่ขัดความประสงค์ อนุญาตให้ลูกไปบวช บำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความอนุโมทนา

แม่ เลี้ยงทั้ง ๕ เป็นปณิธานที่มุ่งมั่น จะบำเพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากกองทุกข์ในวัฏฏะสงสาร จึงฝากนามของแม่เลี้ยงไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาค หน้า เมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับพระนามดังต่อไปนี้

องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นไก่

องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค

องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า

องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค

องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นราชสีห์

ในกัปนี้ชื่อว่า ภัททกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของ คำว่า ?นโมพุทธายะ? นะ คือ พระกกุสันโธ โม คือ พระโกนาคมโน พุท คือ พระกัสสโป ธา คือ พระโคตโมยะ คือ พระศรีอาริยเมตไตรโย จนเป็นคาถาที่ใช้สืบต่อกันมา ฝ่าย พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีก็ได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐานจนสำเร็จญาณอภิญญาสมาบัติ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะมาหาอาหารผลไม้ และบำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ ณ ใต้ต้นนิโครธ อันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ ฤาษีทั้ง ๕ ได้มาพบกัน ณ ที่นี้โดยไม่ได้นัดหมาย จึงสอบถามถึงความเป็นมาของกันและกันจนรู้ว่าแต่ละองค์ก็มีแต่แม่เลี้ยง ฤาษีทั้ง ๕ จึงร่วมกันตั้งสัจจะอธิษฐานขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้า ด้วยอำนาจสัจจะอธิษฐานธรรมอันบริสุทธิ์ดังก้องไปถึงพรหมโลก ท้าวฆติกามหาพรหม ซึ่งเดิมคือ แม่กาเผือก ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดจึงจำแลงเพศเป็นรูปเดิม ขนขาวสวยงาม มาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าของฤาษีทั้ง ๕ เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด ก็รู้สึกสลดสังเวชใจและสำนึกบุญคุณอันใหญ่หลวงของแม่กาเผือก จึงน้อมนมัสการผู้เป็นแม่ กราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์ผู้บังเกิดเกล้าไว้บูชา ได้มาเป็นผ้าฝ้ายเป็นตีนกาสัญลักษณ์ของแม่กาเผือกให้แก่ลูกฤาษีทั้ง ๕ ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุกวันพระ และต่อมาได้กลายเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ตลอดกาลนาน

ฤาษี โพธิสัตว์ทั้ง ๕ ต่างพากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาดจนดับขันธ์ ได้ไปจุติบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพ และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญเพียรบารมีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสงสารวัฏ นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่ต้นกัปโลกา ก็จะนำเอาบริขาร คือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ในชาติสุดท้ายที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์

กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบัน พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือก ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าโปรดโลกไปแล้วถึง ๔ พระองค์ ตามลำดับดังนี้

พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๔ หมื่นปี มีเขมวตีนนครของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี

พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๓ หมื่นปี มีโสภวตีนนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี

พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๒ หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี

พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ ๘๐ ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระพุทธเจ้าสุทโธทนะเป็นราชธาน

ส่วน พระโพธิสัตว์องค์ที่ ๕ อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือก คือ พระศรีอริยเมตไตรย์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัททกัป จะมีอายุถึง ๘ หมื่นปี
บันทึ

2 ความคิดเห็น:

  1. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always be love. _/|\_

    ตอบลบ
  2. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always beloved. _/|\_

    ตอบลบ