วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปาจิต-อรพิม บุรีรัมย์

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา


เรื่องราวในตำนาน ท้าวพรหมทัต นางอรพิม และเจ้าชายปาจิต อาจจะเรียกว่าเป็น ตำนานราชมรรคา ก็คงไม่ผิดนัก เพราะเนื้อหาเป็นเรื่องราวการ "ชิงรักหักสวาท" ของบุคคลจากสองเมืองใหญ่ คือ เมืองพิมายและเมืองพระนครธม ที่ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีแล้ว ทั้งสองเมืองก็คือต้นทางและปลายทางของ เส้นทางราชมรรคา สายเหนือที่มีอยู่จริงในยุคพุทธศตวรรษที่ 15  19 นั่นเอง
.
.
ประตูเมืองพระนครหลวง ชัยศรีปุระ หรือพระนครธมทางทิศใต้
ในตำนานคือเมืองนครธม เมืองพรหมพันธ์นคร หรือเมืองอินปัตถา
บ้านเกิดของเจ้าชายปาจิต
.
          หากเรื่องราวของตำนาน ท้าวพรหมทัต นางอรพิม และเจ้าชายปาจิต เป็นเพียงตำนาน หรือเรื่องเล่าเก่าแก่ ก็เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ในช่วงเวลา 400 ปีที่อีสานใต้ซบเซาและร้างรา แต่การเดินทางของผู้คน เส้นทางการอพยพเพื่อไปหาทำเลที่ตั้งถิ่นฐาน การค้าขายสินค้าท้องถิ่นระหว่างเขมรสูงและเขมรต่ำจะต้องเกี่ยวข้องและรับรู้ถึงการมีตัวตนของ ถนนโบราณ เส้นทางจากเมืองพิมายในเขตเขมรสูงไปสู่เมืองพระนครธมในเขตเขมรต่ำ ซึ่งอาจไม่ได้หยุดนิ่งไปเช่นเดียวกับอำนาจของราชวงศ์มหิธรปุระ ในยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่ยังคงถูกใช้งานสืบต่อมาจนถึงยุคสมัยที่กลุ่มชาติพันธุ์ไท  ลาว ได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนซ้อนทับเนินชุมชนโบราณเดิม
.
         ถนนราชมรรคายังคงถูกใช้งาน อีกทั้งเรื่องราวของ ราชวงศ์มหิธรปุระ ที่เคยเรืองอำนาจในเขตนี้ก็ถูกนำมาดัดแปลงแก้ไข ให้กลายมาเป็นตำนานที่มีสำนวนแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นในยุคปัจจุบัน บนฉากของสถานที่ ที่เคยมีเส้นทางราชมรรคาพาดผ่านเมื่อครั้งในอดีตนั่นเอง
.
.
ปราสาทหินพิมาย ตามตำนานคือเมืองพาราณสีที่มีท้าวพรหมทัตปกครอง
และได้นำนางอรพิมมาขังไว้ในปราสาท
.
         ตำนานเมืองพิมายที่ดูจะอิงกับเรื่องราวในพระพุทธศาสนาแบบท้องถิ่น เล่าว่า ท้าวปาจิตต์  คือ พระโพธิสัตว์ ที่จุติลงมาเป็นโอรสเจ้าเมืองพรหมพันธ์นคร จนถึงวัยหนุ่มได้ออกเดินทางไปหาคู่ครองถึงเมืองพาราณสี พบหญิงหม้ายกำลังตั้งท้อง มีแสงอาทิตย์ทรงกลดเป็นเงาบังนางไว้ ท้าวปาจิตต์ก็รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของคู่ครองของตน คือ นางอรพิม ท้าวปาจิตต์จึงอาสาทำงานช่วยจนนางอรพิมโตเป็นสาว อายุ 16 ปี จึงได้นางเป็นภรรยา ท้าวปาจิตต์ขอลาแม่ยายไปเยี่ยมบิดา นางอรพิมจึงถูก พรหมทัตกุมาร แห่งกรุงพาราณสีฉุดไปขังไว้ในปราสาท ท้าวปาจิตต์จึงตามมาฆ่าพรหมทัตกุมาร พานางหลบหนีไปพักใต้ต้นไทรกลางป่า พรานมาเห็นนางอรพิมสวยมากจึงลอบฆ่าท้าวปาจิตต์และฉุดนางขึ้นหลังควายไป นางอรพิมออกอุบายเอาดาบฟันคอพรานตายแล้วกลับมาคร่ำครวญถึงท้าวปาจิตต์ พระอินทร์จึงมาชุบชีวิตท้าวปาจิตต์ แล้วให้แท่งยาวิเศษแก่นางอรพิม พอเดินทางต่อไป เณรเห็นนางอรพิมพ์รูปสวย จึงหลอกให้พรากจากสามีอีก นางเที่ยวหาสามีจนถึงจัมปานคร อธิฐานขอให้เป็นชายและชื่อปาจิตต์ นางช่วยชุบชีวิตธิดาเจ้าเมืองจัมปานคร เจ้าเมืองยกธิดาและยกเมืองให้ ปาจิตต์ขอออกบวช ให้สร้างศาลาและวาดรูปเป็นเรื่องราวที่นางพลัดพรากจากสามี สั่งให้คนแอบสังเกตคนที่มาพัก หากใครดูรูปแล้วร้องไห้ ให้รีบไปบอก ในที่สุดเมื่อท้าวปาจิตต์มาที่ศาลาดูรูปแล้วร้องไห้ นางและสามีจึงได้พบกัน และกลับไปครองเมืองพรหมทัต
.
.
รูป "ท้าวพรหมทัต" ตามตำนานราชมรรคา
กลางคูหาปราสาทที่เรียกว่า
 "ปรางค์พรหมทัต" ภายในมณฑลในปราสาทหินพิมาย
.    
             ส่วนนิทานพื้นบ้านอีกสำนวนหนึ่งเล่าว่า กษัตริย์เมืองพระนครธมแห่งเขมร มีโอรสชื่อ เจ้าชายปาจิตต์ เดินทางหาคู่ผ่านมาตามลำน้ำมูล พบนางบัวมีเงาบัง (พระอาทิตย์ทรงกลด) ก็อยู่อาสาทำงานจนคลอดนางอรพิม โตเป็นสาว เจ้าชายจึงกลับนครธมนำขันหมากมาสู่ขอ ท้าวพรหมทัตผู้ครองเมืองวิมายบุรีได้ข่าวว่านางอรพิมมีรูปโฉมงดงามเป็นที่พอพระทัย จึงบังคับให้นางเป็นภรรยา พอเข้าใกล้นางก็ตัวร้อนเป็นไฟ นางขอผัดเวลาไป วัน เจ้าชายปาจิตต์มาพอดีแต่เข้าใจผิด จึงเทขันหมากทิ้งลงน้ำ ตามนางอรพิมเข้าไปในเมืองวิมายบุรี อ้างว่าเป็นพี่ชายนาง แล้วลอบฆ่าท้าวพรหมทัต พานางกลับเมืองพระนครธมด้านทิศใต้ น้ำกำลังไหลเชี่ยว เณรออกอุบายให้ทั้งสองพลัดกัน นางออกอุบายหนีเณร มาพบพราน ออกอุบายฆ่าพราน ในที่สุดก็ได้พบกัน แล้วกลับมาทำพิธีเผาศพท้าวพรหมทัต เพื่อให้ชาวเมืองวิมายบุรีหายโกรธ แล้วจึงกลับเมืองพระนครธม
.
.
ลำปลายมาศ ลำน้ำสำคัญในเครือข่ายชุมชนโบราณตามแนวเส้นทางราชมรรคา
ตามตำนานเล่าว่า เป็นที่เจ้าชายปาจิตทิ้งสินสอดทองหมั้นให้ไหลไปตามน้ำ
.
.
เขาปลายบัด ภูเขาไฟเก่าแก่ทางทิศใต้ของเทือกเขาพนมรุ้ง
ที่เล่าในตำนานว่า เป็นบ้านของ นางบัว มารดานางอรพิม
และเป็นเป็นสถานที่ที่นางอรพิมหนีมาซ่อนตัว
.
.
ปราสาทโบราณบนยอดเขาปลายบัด ที่อาจมีอายุถึงพุทธศตวรรษที่ 15
และถูกบูรณะในยุคพุทธศตวรรษที่ 17
.
            อีกตำนานหนึ่งก็เล่าคล้ายคลึงกันว่า ท้าวปาจิตเป็นโอรสเจ้าเมือง อินทปัตถา เมื่อถึงวัยที่จะต้องแต่งงาน บิดาก็หาสตรีโฉมงามมาให้เลือก แต่ท้าวปาจิตก็ไม่ถูกใจ จึงขอออกเดินทางเพื่อแสวงหาคู่ครองด้วยพระองค์เอง แล้วท้าวปาจิตก็ออกเดินทางไปพร้อมกับทหารคู่ใจ ครั้นมาถึงหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง ก็พบกับหญิงท้องแก่เดินสวนทางมากลางแดดแต่มีกลดทิพย์บังแสงแดดให้จึงรู้ว่าในท้องของนางเป็นผู้มีบุญตามที่พราหมณ์ได้บอกเอาไว้ ท้าวปาจิตจึงขออาศัยอยู่ด้วย นางและสามีก็ยินดี ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับชาวนาสองผัวเมีย ท้าวปาจิตก็ช่วยเหลือการงานทำไร่ไถ่นาและก็เอ่ยขอว่า ถ้าคลอดออกมาเป็นผู้หญิง จะขอไปเป็นชายา ในที่สุดก็คลอดออกมาเป็นผู้หญิงจริง ๆ ท้าวปาจิตตั้งชื่อให้ว่า อรพิม เวลาผ่านไปจนนางอรพิมโตเป็นสาว ท้าวปาจิตจึงขอลากลับบ้านเมืองไปแต่งขันหมากมาสู่ขอ
.
.
ฐานจตุรมุขศิลาแลงของพลับพลาริมน้ำเค็ม หน้าเมืองพิมายทางทิศใต้ ที่
เรียกกันตามตำนานว่า ท่านางสระผม
.
.
"บารายศรีสูรยะ" หรือ "สระเพลิง" เชิงเขาพนมรุ้ง
เป็นทั้งแนวถนนราชมรรคาในยุคโบราณ
และเป็นเส้นทางในตำนาน ที่เล่าว่า ท้าวพรหมทัตเดินทางมาตั้งค่ายพักแรม
พื่อจะไปนำตัวนางอรพิมมาเป็นมเหสี
.
           วันหนึ่งนางอรพิมไปเล่นน้ำกับเพื่อน (ที่ท่านางสระผม) นางนึกสนุกจึงเอาเส้นผมใส่ผอบลอยน้ำไป จนถึงมือของพระเจ้าพรหมทัต กลิ่นหอมของเส้นผมนั้นทำให้ ท้าวพรหมทัต หลงใหลสั่งให้ทหารออกตามหาเจ้าของเส้นผม เมื่อพบนางอรพิม ทหารจึงจับตัวกลับไปเพื่อถวายท้าวพรหมทัต ระหว่างทางนางอรพิมคิดถึงท้าวปาจิตจึงร้องไห้ไม่ยอมเดินทางต่อ จึงเรียกที่นั้นว่า "บ้านนางร้อง" (อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์) ทหารก็พยายามฉุดกระชากให้นางเดินทางต่อ จนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางกระโดดหนีเข้าไปหลบในป่า จึงเรียกหมู่บ้านนั้นว่า "บ้านปะเต็ล" (เป็นภาษาเขมรแปลว่า กระโดดโลดเต้น) ทหารก็รีบไล่ตามโดยพยายามปิดล้อมหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จึงเรียกหมู่บ้านนั้นว่า "บ้านไผ่ล้อม" แต่ก็ยังไม่ได้ตัวนาง นางอรพิมหนีกระเจิดกระเจิงไปซ่อนอยู่ในถ้ำจนทหารหาไม่พบ จึงเรียกว่า "เขาปลายบัด" (บัดเป็นภาษาเขมรแปลว่า หาย) แต่แล้วในที่สุดทหารของท้าวพรหมทัตก็ตามหาตัวนางจนเจอ
.
            เมื่อนางเข้ามาอยู่กับท้าวพรหมทัตแล้ว แต่ท้าวพรหมทัตก็ไม่สามารแตะต้องตัวนางได้ เพราะถ้าเข้าใกล้นางจะรู้สึกร้อนเป็นไฟด้วยแรงอธิฐานของนาง
 ฝ่ายท้าวปาจิตก็ได้ยกขบวนขันหมากมาตามคำพูดแต่เมื่อทราบว่านางอรพิมถูกท้าวพรหมทัตเอาตัวไปแล้วก็เสียใจมากสั่งให้เทข้าวของเงินทองของหมั้นให้หมด เรียกบริเวณนั้นว่า "เสราะแบจาน" (บ้านทุบจาน) ส่วนสินสอดทองหมั้นก็ไหลไปตามน้ำ จึงเรียกว่า "ลำมาศ" หรือ"ลำปลายมาศ" แล้วท้าวปาจิตก็สั่งให้ขบวนเดินทางกลับ แล้วพระองค์และทหารคนสนิทก็ออกเดินทางไปยังเมืองของท้าวพรหมทัต
.
.
สถูปสมัยทวารวดีกลางเมืองโบราณกงรถ จังหวัดนครราชสีมา
ที่ตำนานเล่าว่า เจ้าชายปาจิตได้นำรถมาทิ้งไว้
.
.
เทือกเขาพนมรุ้ง ฐานที่มั่นของราชวงศ์มหิธรปุระบนเส้นทางราชมรรคา
ตามท้องเรื่องเป็นบ้านของ นางบัว มารดานางอรพิม
.
          ท้าวปาจิตเดินทางมาถึงในวันอภิเษกสมรสพอดี จึงบอกกับทหารเฝ้าประตูวังว่าเป็นพี่ชาย เมื่อนางอรพิมเห็นท้าวปาจิตจึงร้องว่า "พี่มาแล้ว" ภายหลังเพี้ยนเป็น "พิมาย" (อ.พิมาย จ.นครราชสีมา) ท้าวปาจิตและนางอรพิมจึงวางแผนมอมเหล้าเหล่าทหารและท้าวพรหมทัต พอตกค่ำนางอรพิมก็ลอบปลงพระชนม์ แล้วพากันหนีไป เมื่อทหารพากันฟื้นจึงพากันออกติดตาม เมื่อพบนางอรพิม ทหารจึงยิงธนูสกัดเอาไว้แต่ไปถูกกลางหลังของท้าวปาจิตจนท้าวปาจิตสิ้นใจ
ร้อนถึงพระอินทร์ได้ชวนพระวิษณุแปลงกายเป็นงูกับพังพอนกัดกันอยู่ใกล้ ๆ นาง เมื่องูถูกพังพอนกัดตาย พังพอนก็ไปกัดรากไม้มาพ่นให้งู แล้วงูก็ฟื้น แล้วก็สลับกันตาย สลับกันกัดรากไม้พ่นแล้วก็ฟื้น ทำให้นางอรพิมทราบสรรพคุณวิเศษของรากไม้นั้น นางจึงรักษาท้าวปาจิตจนฟื้น ทั้งสองจึงพากันเดินทางกลับเมืองของท้าวปาจิตและนำรากไม้วิเศษไปด้วย
.
.
ปราสาทหินพิมาย อาจสร้างขึ้นครั้งแรกในพุทธศตวรรษที่ 15
ในคติ "มูรติทั้ง 8 แห่งองค์พระศิวะ"
แล้วมาสร้างใหม่ในยุคราชวงศ์มหิธรปุระในพุทธศตวรรษที่ 16
แล้วมาสร้างเป็นปราสาทสามหลังตามคติ "วัชรยานไตรลักษณ์" ในพุทธศตวรรษที่ 18
แต่ในตำนานราชมรรคา ปราสาทองค์ใดคือที่ขังโฉมงามนางอรพิมกันหนอ ?
.
          เมื่อเดินทางมาถึงแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่สามารถจะข้ามไปได้ พอดีเห็นเณรพายเรือผ่านมา จึงขอให้เณรพาข้ามแม่น้ำ แต่เณรกลับหลงใหลนางอรพิมจึงออกอุบายว่าเรือลำนี้เล็กให้ไปทีละคน โดยไปส่งท้าวปาจิตก่อน แล้วค่อยกลับมารับนางอรพิม แต่เณรกลับไม่ไปส่งนางที่ที่ท้าวปาจิตคอยอยู่ เมื่อนางอรพิมเห็นความไม่ซื่อของเณรจึงบอกว่านางอยากกินผลมะเดื่อ เณรจึงปีนขึ้นไปเก็บให้ นางจึงเอาหนามมาสุมไว้ที่โคนต้นมะเดื่อ แล้วพายเรือไปหาท้าวปาจิต เณรลงมาไม่ได้จึงกลายเป็น "แมลงหวี่" อยู่ที่ต้นมะเดื่อตลอดมา
.
.
ซากแนวกำแพงและคูน้ำของเมืองโบราณบ้านไทรออ อำเภอหนองหงส์
เล่ากันว่าเป็นบ้านเมืองของนางอรพิม จึงเรียกชื่อกันในท้องถิ่น
.
            นางอรพิมตามหาท้าวปาจิตไม่พบ จึงพายเรือตามหาจนถึงเมืองแห่งหนึ่ง ชื่อเมืองครุฑราช นางจึงเข้าไปอาศัยที่ศาลาโรงทานของเศรษฐี ในโรงทานนี้มีโรงศพอยู่และภายในมีศพที่ยังคงสภาพ นางอรพิมจึงเอารากไมวิเศษนั้นชุบชีวิต จึงทราบว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นคือนางปทุมเกษรเป็นธิดาเศรษฐี แล้วนางปทุมเกษรก็ขอติดตามนางอรพิมไม่ยอมกลับบ้าน ทั้งสองเป็นหญิงและเกรงกลังอันตรายจึงอธิษฐานขอให้กลายร่างเป็นชาย โดยนำผมที่ตัดไว้ไปฝากไว้ที่ต้น "ช้องนาง" นำขาไปฝากไว้กับต้น "ขานาง" แล้วนำนมไปฝากไว้ที่ต้นงิ้ว (บางสำนวนก็เล่าว่า นางอรพิมนำนมทั้งสองข้างไปไว้ในป่า กลายเป็นต้น "นมนาง" นำแก้มทิ้งไปในป่ากลายเป็นต้น "แก้มอ้น ทิ้งโยนี กลายเป็นต้น "โยนีปีศาจ")
.
.
.
ซากปราสาทอิฐเก่าแก่ พังทลายลงในดงไม้
กับบารายหนองประจิต บารายขนาดใหญ่ในวัฒนธรรมเขมร
บ้านหนองเสม็ด ตำบลหนองยายพิมพ์ อำเภอนางรอง
ก็ใช้ชื่อตามตัวละครเอก เจ้าชายปาจิต ในตำนาน
.
            เมื่อเดินทางมาถึงเมืองพาราณสี พบว่าประชาชนร้องไห้กันถ้วนทั่ว สอบถามได้ความว่าเจ้าหญิงของเมืองนั้นถูกงูกัดสิ้นพระชนม์ นางอรพิมในร่างชายจึงไปช่วยชุบชีวิต เจ้าเมืองจะยกเจ้าหญิงให้และแบ่งเมืองให้ครองครึ่งหนึ่งแต่นางอรพิมไม่รับขอลาบวช และขอให้เจ้าเมืองสร้างโรงทานและเขียนภาพเล่าเรื่องราวของตนกับท้าวปาจิตไว้ที่โรงทาน นางอรพิมบวชอยู่นานจนเป็นพระสังฆราชแห่งเมืองพาราณสี
.
             วันหนึ่งมีทหารไปบอกนางอรพิมว่ามีชายแปลกหน้าพอเห็นภาพแล้วก็ยืนร้องไห้จนสลบ นางจึงสั่งให้นำตัวเข้าพบ ก็พบว่าเป็นท้าวปาจิต แล้วนางก็อธิฐานขอให้ร่างกลับเป็นหญิงด้วยความรัก แล้วนางก็พาท้าวปาจิตเข้าไปกราบทูลเจ้าเมืองพาราณสีถึงความจริง จึงมอบพระธิดาให้ท้าวปาจิตแทน ท้าวปาจิต นางอรพิม นางปทุมเกษรและพระธิดาของเจ้าเมืองออกเดินทางกับเมืองของท้าวปาจิตและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
.
.
ศาลเจ้าพ่อพญาดินดำ กลางเนินเมืองโบราณบ้านจะบวก
 ที่ตั้งของหลักหินตามตำนาน และเป็นที่แวะพักของนางอรพิม
ลักหินทรายคู่ยังคงตั้งอยู่หน้ามณฑปปราสาทของศาล
ตั้งแต่ครั้งที่เจ้าชายปาจิตสั่งให้ปักไว้
.
             และตำนาน ท้าวพรหมทัต นางอรพิและเจ้าชายปาจิต ในสำนวนของ ตำนานเมืองนางรอง ก็เล่าว่า ชื่อนางรอง นั้น มาจากตอนที่ นางอรพิมพ์หนีท้าวพรหมทัตเจ้าเมืองพิมายมากับท้าวปาจิต  โอรสเจ้าเมืองนครธม นางอรพิมพ์นั่งร้องไห้เพราะท้าวปาจิตต์ถูกงูกัดตายที่นี่  เลยเรียกเมืองนี้ว่า นางร้อง  แล้วเพี้ยนมาเป็น นางรอง
.
            ตำนานเมืองนางรองอีกสำนวนหนึ่งเล่าว่า สมัยของพระเจ้าชัยวรมันแห่งนครธม  พระองค์มีพระราชโอรสองค์หนึ่งนาม เจ้าชายปาจิตต์  เมื่ออายุ ครบ 18 ชันษา โหรได้ทำนายไว้ว่าหญิงที่จะมาเป็นพระชายาของเข้าชายยังไม่ถือกำเนิด  และอยู่ห่างจากนครธมมาก  บิดามารดาของหญิงผู้นั้นเป็นคนธรรมดา  ทำไร่อยู่ที่ภูเขาแห่งหนึ่ง  สันนิษฐานว่าเป็นเขา  ไปรบัด (ปลายบัด) หรือ เขาพนมรุ้ง  เวลานี้จวนถือกำเนิดจากครรภ์มารดาแล้ว  ควรจะให้มีผู้พิทักษ์รักษาความปลอดภัย
.
. 
ปราสาทเขาพนมรุ้ง ปราสาท"ศิริศะ" เพื่อการบูชาพระศิวะบนเขาไกรลาส (สมมุติ)
เป็นฐานอันมั่นคงของราชวงศ์มหิธรปุระตั้งแต่ยุคพระเจ้าสูรยวรมันที่ 1
ที่เชิงเขาเป็นที่ทำนา "กัลปนา"
ตำนานบางสำนวนเล่าว่าเป็นบ้านของมารดานางอรพิม  
.
            เจ้าชายปาจิตต์เชื่อในคำทำนายนั้นจึงออกตามหา  โหรกราบทูลเพิ่มเติมว่า  บิดามารดาของหญิงผู้นั้นมีอายุเกินหกสิบปีแล้ว  มารดาของหญิงนั้นไม่ว่าจะย่างเท้าไปทิศไหนก็จะมีคนกั้นร่ม หรือสัปทนให้เสมอ  แต่จะมีเพียงท้าวปาจิตต์เท่านั้นที่แลเห็นนาง  ที่อยู่ของหญิงผู้นี้อยู่ทางทิศพายัพของนครธม  ต้องเดินด้วยเท้าหลายวันจึงจะถึง  เมื่อเจ้าชายเดินทางมาทิศตะวันตกได้พบม้าลักษณะงามตัวหนึ่ง (แซะลออ เป็นภาษาเขมร แปลว่า ม้างาม)  ครั้นถึงเมืองนางรองที่บ้านหินโคน สืบเสาะได้ความว่าที่เขาพนมรุ้งมีคนทำไร่ และมีลักษณะดังคำทำนายอาศัยอยู่จริง  จึงได้เดินทางไปและแจ้งให้บิดามารดาของนางทราบโดยละเอียด
.
.
ในตำนานกล่าวถึง "ทุ่งอรพิมพ์" ใกล้บ้านหนองทองลิ่ม
ที่นั่นก็ยังคงมีเศษซากของปราสาทอิฐในวัฒนธรรมแบบเขมรตั้งอยู่
.
            ต่อมาเจ้าชายได้แจ้งเรื่องไปยังพระราชบิดาที่นครธม  จึงให้เกณฑ์ผู้คนตัดถนนฝังหลักเขตจากเขาพนมรุ้งไปถึงนครธม (ดังปรากฏหลักหินมาถึงทุกวันนี้ที่บ้านจะบวก  ตำบลนางรอง หลัก  บ้านหินโคนน้อย หลัก  และที่บ้านหินโคนดง หลัก รวม หลัก หลักหินที่ฝังไว้นี้สันนิษฐานว่าคงฝังเป็นระยะทาง 400 เส้น ต่อ หลัก  ทางหรือถนนที่สร้างขึ้นไว้นั้น  น่าจะเป็นทางเดินช่องแซะละออทุกวันนี้  แต่เพี้ยนมาเป็นช่องสายออหรือช่องกุ่ม)
.
            หลังจากหญิงชาวไร่คลอดบุตรหญิงออกมาจนมีอายุครบ 16 ปี  มีรูปโฉมงดงามมาก ตั้งชื่อว่า นางอรพิมพ์  เจ้าชายหลงใหลรักใคร่ในตัวนางมากจึงเตรียมที่จะอภิเษกตามราชประเพณี
.
            กล่าวถึงอีกเมืองหนึ่ง คือ เมืองพิมาย  ผู้ครองนคร คือ ท้าวพรหมทัต  ครองเมืองหน้าด่านดูแลต่างพระเนตรพระกรรณของพระเจ้านครธม (สันนิษฐานว่าเมืองพิมายเดิมน่าจะเรียกว่าพี่มา  สาเหตุมาจากนางอรพิมพ์ เมื่อพบกับเจ้าชายปาจิตต์ก็อุทานออกมาว่า พี่มา  เมื่อนานเข้าก็เพี้ยนเป็นพิมาย จนทุกวันนี้)  ท้าวพรหมทัตมีความร้อนรุ่นใจใคร่ออกไปเที่ยวป่า  รอนแรมมาจนถึงพนมรุ้ง  ตั้งค่ายพักแรมที่ริมสระน้ำใหญ่เรียกว่า สระเพลิง (เพลง)” (อาจเป็นบารายศรีสูรยะ  บ้านหนองบัวราย อ.ประโคนชัย)  อยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาทหิน  เมื่อได้ขึ้นไปบนปราสาทก็พบหญิงสาวโฉมงาม  จึงอยากได้นางไปเชยชม  จึงได้ให้ทหารไปฉุดคร่านางมาจากบิดามารดาและทหารของเจ้าชายปาจิตต์จนสำเร็จ  ท้าวพรหมทัตนำตัวนางอรพิมพ์ไปยังเมืองพิมายโดยไม่รู้ว่านางเป็นคู่หมั้นของท้าวปาจิตต์  ระหว่างที่เดินทางมาถึง บ้านจะบวก นางอรพิมพ์ได้ขอร้องให้ท้าวพรหมทัตหยุดพักการเดินทาง เพื่อหาโอกาสส่งข่าวให้เจ้าชายปาจิตต์ทราบ  แต่ท้าวพรหมทัตไม่ยอม  ครั้นเดินทางมาถึงลำน้ำทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองนางรอง  นางอรพิมพ์ได้ลงจากช้างและนั่งร้องไห้ที่ริมฝั่งน้ำ ครวญถึงบิดามารดาและเจ้าชายปาจิตต์  ต่อมาได้เรียกลำน้ำนี้ว่า ลำน้ำนางร้อง  และเพี้ยนมาเป็นลำน้ำนางรอง  ภายหลังจากหยุดพักพอสมควรแล้วก็เดินทางต่อจนถึงเมืองพิมายโดยที่มีทหารของเจ้าชายปาจิตต์สะกดรอยตามไปจำนวนหนึ่งและอยู่ปะปนไปกับผู้คนในเมืองเพื่อหาโอกาสช่วยเหลือและรอเจ้าชายยกทัพมาสมทบ
.
ห้องข้างประตูเมืองพิมายทางทิศใต้ เห็นการเรียงหินและการนำเสานางเรียงของปราสาทหินพิมายมาใช้เป็นเสาพื้นและคานประตู
ประตูเมืองพิมายมีรูปแบบเดียวกับประตูเมืองพระนครธม
ท้าวพรหมทัตจะนำนางอรพิมมาขังที่นี่หรือเปล่า
หรือ เจ้าชายปาจิตต์จะมาหลอกทหารยามว่าเป็นพี่ชายของนางอรพิมที่ตรงประตูนี้
.
          ฝ่ายเจ้าชายปาจิตต์ยกทัพมาตามเส้นทางเดิม โดยไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน ผ่านบ้านแซะ (เมืองครบุรี)  สระประทีป  และมาสว่างที่บ้านเสิงสาง (อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา ปัจจุบัน)  แล้วเดินทางมาถึงลำน้ำลงเรือที่บ้านวังบุกระถิน (ลำปลายมาศในปัจจุบัน)  เห็นข้าราชบริพารของท้าวพรหมทัตเตรียมเรือขันหมากไว้สองลำ  เห็นดังนั้นจึงโกรธแค้นท้าวพรหมทัตมาก จึงจมเรือขันหมากเสียในลำนำนี้ (ลำน้ำนี้จึงได้ชื่อว่า ลำปลายมาศ เพราะมีทองขันหมากจมอยู่มากมาย)  และเปลี่ยนจากการไปทางเรือไปทางรถม้าแทน เมื่อถึงบ้านกงรถก็ทิ้งรถไว้  ที่นี่จึงได้เรียกว่า บ้านกงรถ มาจนทุกวันนี้ (บ้านกงรถ อยู่ในเขต ต.กงรถ อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา) จากนั้นเจ้าชายได้ปลอมตัวเป็นคนสามัญ เดินทางต่อไปยังเมืองพิมายตามหานางอรพิมพ์จนพบ  เมื่อพบกันครั้งแรกนางอรพิมพ์ได้อุทานด้วยความยินดีว่า พี่มาแล้ว ถึง ครั้ง  หลังจากนั้นเจ้าชายจึงได้ฆ่าท้าวพรหมทัต  และนำตัวนาวอรพิมพ์กลับเมืองนครธม  โดยเดินทางผ่านทุ่งกระเต็นในปัจจุบัน  ซึ่งห่างจากเมืองพิมายมาไกลมาแล้ว  และได้มีการเลี้ยงฉลองเต้นรำกันที่ทุ่งแห่งนี้  จนเรียกขานว่า ทุ่งกระเต้น ต่อมาเพี้ยนเป็น ทุ่งกระเต็น  
.
.
ภาพถ่ายทางอากาศแสดงภาพของเมืองโบราณรูปวงกลมที่มีชื่อว่า "เมืองกงรถ"
ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 19 ในวัฒนธรรมแบบทวารวดี
ถูกวัฒนธรรมแบบเขมรเข้าซ้อนทับในพทธศตวรรษที่ 15
ที่กลางเมืองมีสถูปโบราณและเคยพบธรรมจักรศิลาและวัฒนธรรม"หินตั้ง"
.
            รุ่งขึ้นได้เดินทางผ่านเส้นทางเดิมและวกมาทางทิศตะวันออกจนถึงทุ่งแห่งหนึ่งก็หยุดพักผ่อน  ซึ่งทุ่งนี้ต่อมาเรียกว่า ทุ่งอรพิมพ์ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านหนองทองลิ่ม  ห่างออกไปทางทิศใต้ประมาณ 100 เส้น  จากนั้นออกเดินทางต่อไปถึงบ้านแซะละออเข้าสู่นครธม และได้อภิเษกกับนางอรพิมพ์เป็นกษัตริย์กับมเหสีในที่สุด
.
            ตำนานเรื่อง ท้าวพรหมทัต นางอรพิมและเจ้าชายปาจิต จากสำนวนต่าง ๆ ที่ล้วนแต่มีเนื้อเรื่องที่คล้ายคลึงกัน มีชื่อในเรื่องราวตามตำนานที่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับสถานที่ โบราณสถาน ชุมชนโบราณ ที่มีอยู่จริงหลายแห่ง คือ
  • เมืองนครธม คือ เมืองพระนครธม พระนครหลวงหรือชัยศรีปุระ ที่สร้างขึ้นในยุคพระจ้าชัยวรมันที่ 7 พร้อมกับการปรับปรุงถนน ราชมรรคา ขึ้นมาใหม่ จากเครือข่ายเส้นทางเดิมในยุคก่อนหน้า
  • เมืองพิมาย คือ เมืองโบราณที่ตั้งของปราสาทหินพิมาย ที่เล่ากันตามชื่อคำอุทาน พี่มาแล้ว  คือตอนที่นางอรพิม เรียกท้าวปาจิตต์ตอนกลับมา ในตำนาน แต่ชื่อที่ปรากฏในจารึกเรียกว่า วิมาย - วิมายะปุระ
.
.
ปรางค์พรหมทัต ในมณฑลศักดิ์สิทธิ์ด้านในของปราสาทหินพิมาย
ตอกย้ำตำนานการมีตัวตนของท้าวพรหมทัต ผู้หลงรักนางอรพิมจับใจ
จนก่อให้เกิดตำนานพื้นบ้าน
อาจจะมีอยู่จริงในจินตนาการยามเมื่อท่านได้ลองไปนั่งติดฝนอยู่คนเดียวสัก 1 ชั่วโมง
ภายในปรางค์ หน้ารูปพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (จำลอง)
ที่มีละอองฝนโปรยปรายและน้ำหยดลงมาจากยอดปราสาท
แบบที่ผมได้สัมผัสมาแล้ว
.
  • บ้านนางร้อง  หรือ เมืองนางรอง อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
  • เขาปลายบัด คือ เทือกเขาปลายบัด ทางทิศใต้ของเทือกเขาพนมรุ้ง บนยอดเขาปลายบัดมีปราสาทในวัฒนธรรมเขมร ตั้งแต่ยุคพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 2 แห่ง
  • ลำปลายมาศ คือ ลำน้ำที่เจ้าชายปาจิตต์เทขันหมากทิ้ง เป็นลำน้ำสำคัญในเครือข่ายชุมชนโบราณจำนวนมาก ตามแนวเส้นทางราชมรรคา
  • เขาพนมรุ้ง คือภูเขาไฟที่ดับแล้ว เป็นจุดกึ่งกลางของเส้นทางราชมรรคา มีหลักฐานโบราณคดีพบชุมชนโบราณในอิทธิพลของราชวงศ์มหิธรปุระ จำนวนกว่า 150 แห่ง ตั้งอยู่โดยรอบ บนยอดเขาเป็นที่ตั้งของปราสาทเขาพนมรุ้ง ที่สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 15 จนถึงพุทธศตวรรษที่ 18
  • บ้านจะบวก คือ ชุมชนที่อยู่ใกล้ตัวเมืองนางรองทางทิศใต้ เป็นเมืองโบราณในวัฒนธรรมทวารวดี ถูกซ้อนทับโดยกลุ่มชนในวัฒนธรรมเขมร ที่กลางเนิน มีศาลเจ้าพ่อพญาดินดำ ปรากฏหลักหินทราย 2 หลักตรงตามตำนาน
  • สระเพลิงหรือสระเพลง บ้านหนองบัวราย อำเภอประโคนชัย เป็นบารายขนาดใหญ่ เชิงเขาพนมรุ้ง และมีหลักฐานว่า บนคันขอบบารายทางทิศเหนือ เป็นส่วนหนึ่งของถนนราชมรรคาที่เป็นแนวลงมาจากชุมชนโบราณประทัดบุ
  • หมู่บ้านสำเร็จ หรือ หมู่บ้านสัมฤทธิ์ คือหมู่บ้านที่นางบัวอาศัยอยู่
  • ทุ่งอรพิมพ์ อยู่ใกล้กับ บ้านหนองทองลิ่ม ซึ่งเป็นชุมชนโบราณในยุคพุทธศตวรรษที่ 15  16 ปรากฏหลักฐานของซากฐานปราสาทเก่าที่สร้างด้วยอิฐ ฐานศิลาแลงและบารายประจำศาสนสถาน
  • ถนนนางคลาน คือ ถนนที่นางอรพิมหัดคลาน
  • บ้านนางเดิน คือ บ้านที่นางอรพิมหัดเดิน
  • บ้านกงรถ คือ บ้านที่เจ้าชายปาจิตต์ทิ้งรถเอาไว้ ปัจจุบันคือเมืองโบราณรูปวงกลมบ้านกงรถ อำเภอห้วยแถลง จังหวัดนครราชสีมา   
  • ท่านางสระผม คือ ท่าน้ำที่นางอรพิมเคยอาบน้ำ สระผม ท่าน้ำนี้อยู่ริมลำน้ำเค็ม ทางทิศใต้ของเมืองพิมาย
  • เมรุพรหมทัต คือ สถานที่ประกอบพิธีถวายพระเพลิงท้าวพรหมทัต 
.
.
สถูปเจดีย์แบบทวารวดี (บูรณะต่อมาในยุคหลัง) กลางเมืองโบราณพิมาย
คือสถานที่ประกอบพิธีถวายพระเพลิงท้าวพรหมทัต ตามตำนานเมืองพิมาย  
.
            จากตำนาน ท้าวพรหมทัต นางอรพิมและเจ้าชายปาจิต ในสำนวนต่าง ๆ ที่เล่าขานสืบต่อกันมาทั้งหมดนั้น จะเห็นเค้าของโครงเรื่องที่คล้ายคลึงกันทั้งหมด แต่ชื่อเรียกอาจไม่เหมือนกันไปตามท้องถิ่น เรื่องราวของตำนานได้บอกเล่าถึงการเดินทาง การติดต่อ และการแวะพักตามเมืองหรือชุมชนต่าง ๆ ทั้งเมืองพิมาย เมืองพระนครธม พนมรุ้ง ที่ล้วนแต่เป็นชุมชนโบราณ ที่มีความสำคัญบนแนวเส้นทางราชมรรคา
.
           การเดินทางในเนื้อเรื่องบางตอน ก็จะต้องข้ามลำน้ำ ซึ่งในความเป็นจริง เครือข่ายถนนโบราณก็ต้องอาศัยเครือข่ายของลำน้ำ เป็นเส้นทางติดต่อระหว่างชุมชนที่ตั้งอยู่ห่างไกลด้วยเหมือนกัน
            ถึงเรื่องราวจะกล่าวถึงเส้นทางที่ตัวละครใช้เดินทางในเนื้อเรื่องแตกต่างไปจากหลักฐานทางกายภาพของเส้นทางราชมรรคา แต่ตำนาน ก็ยังคงเป็นข้อยืนยันที่สำคัญว่า ผู้เริ่มเล่าเรื่องในสำนวนนี้ ไม่ได้ใช้ถนนราชมรรคาเดินทางในชีวิตจริงทั้งสาย แต่ได้ใช้เครือข่ายของเส้นทางถนนที่มีมากกว่าถนนเพียงเส้นเดียวในการเดินทางไปสู่เขตเขมรต่ำ เรื่องราวในสำนวนของเขา จึงได้นำประสบการณ์จากการเดินทางของตนเอง มาผสมบอกเล่าเป็นเส้นทางของเจ้าชายปาจิตต์ ว่า ได้ออกจากเมืองพระนครธมทางทิศพายัพ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ซึ่งนั่นก็ตรงกับแนวของเส้นทางราชมรรคาสายเหนือที่มีอยู่จริง แต่การเดินทางกลับไปผ่านช่องแซะลออหรือแซร์ออ ที่อยู่ห่างไปทางใต้ในเขตจังหวัดสระแก้ว (หรืออาจะเป็นเมืองโบราณไทรออ ตำบลเสาเดี่ยว อำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์) แทนที่จะใช้ช่องเขาตาเมือน ที่เป็นช่องเขาของถนนราชมรรคา หรือช่องเขาหลายช่องบนเทือกพนมดงรักในเขตจังหวัดบุรีรัมย์
.
.
ร่องรายการเดินทางของผู้คน บนเส้นทางสายราชมรรคา
ปรากฏเป็น "รอยสึกลึกจนเป็นร่อง" ที่มีการวางหิน (เสานางเรียง) ที่มีความแข็งกว่าหินทรายสีแดงมาบังคับร่องของล้อเกวียน ประตูเมืองทางทิศใต้ของเมืองพิมาย
ซึ่งเป็นทิศด้านหน้าของเมือง
หากใช้จินตนาการตามตำนานราชมรรคา ผู้คนที่เดินเข้าออกผ่านประตูนี้เพื่อกลับไปยังเมืองพระนครธม คงมี เจ้าชายปาจิตต์ โอรสพระเจ้าชัยวรมัน กับนางอรพิม รวมอยู่ด้วย
.
            ตำนาน เรื่อง ท้าวพรหมทัต นางอรพิมและเจ้าชายปาจิต นี้ อาจมีส่วนช่วยอธิบายภาพของวิถีชีวิตและช่วย สร้างจินตนาการ (Imaging) ถึงเรื่องราวของผู้คนในหลากหลายวัฒนธรรม ที่เคยอาศัยอยู่ตามแนวเส้นทางราชมรรคาในอดีต ทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ในวัฒนธรรมเขมรโบราณ แขมร์ลือ แขมร์กรอม ไท  ลาว ไทยอีสาน ไทเบิ้ง ไทยนางรอง ไทยโคราช มาจนถึงคนไทยในปัจจุบันได้ดีกว่าการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์และโบราณคดีเพียงด้านเดียว
.
            และด้วยเพราะความสำคัญของเรื่องราวที่อาจเป็นเพียง เรื่องเล่า นิทานตำนานพื้นบ้าน แต่กลับแฝงด้วยข้อมูล ข้อเท็จจริงมากมาย ตำนานเรื่องนี้จึงควรถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งของ  ตำนานราชมรรคา ด้วยเช่นกัน !!!
จังหวัดบุรีรัมย์
ปาจิต-อรพิม
เนื้อเรื่อง
................เจ้าชายปาจิตเป็นโอรสของกษัตริย์เมืองนครธม เจริญวัยได้ ๑๐ ชันษา พระราชบิดาต้องการให้อภิเษกสมรส แต่เจ้าชายไม่ทรงพอพระทัย จึงเสด็จออกมาแสวงหาสตรีที่อยู่ในอุดมคติได้เสด็จมาบริเวณเมืองต่ำ พนมรุ้งพบสตรีที่มีครรภ์คนหนึ่ง เห็นมีลักษณะเด่นน่าสนใจจึงเข้าไปขอว่าถ้าบุตรในครรภ์เป็นหญิงคลอดออก มาแล้วจะขอแต่งงานด้วย แต่ถ้าเป็นชายจะขอเป็นพี่น้องกันตลอดไป เมื่อหญิงคนนั้นคลอดบุตรออกมาเป็นหญิง ตรงกับที่ตั้งใจจึงอยู่เลี้ยงดู และช่วยงานครอบครัวนี้ตลอด ตั้งชื่ออรพิม จนกระทั่งเด็กหญิงเจริญเติบโต เต็มวัยพอที่จะแต่งงานได้ จึงอำลากลับไปจัดขันหมากทองหมั้นมาจากเมืองนครธม แต่ในขณะที่ท้าวปาจิต ไม่อยู่ พระเจ้าพรหมทัตเจ้าเมืองพิมายในปัจจุบัน ส่งคนมาลักตัวนางอรพิมไปบังคับแต่งงานด้วย นางอรพิม ผลัดผ่อนเรื่อยๆ ประวิงเวลาให้เจ้าชายปาจิตมารับไป
เมื่อเจ้าชายปาจิตนำขันหมากมาไม่พบนางอรพิม ทรงเสียพระทัยจึงโยนเงินทองของหมั้นลงในลำน้ำ ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำมูล ลำน้ำนี้จึงได้ชื่อว่าลำมาศตั้งแต่นั้นมา (มาศะคือเงินทอง) ขณะที่นางอรพิมถูกลักพาตัว ไปนางนั่งร้องไห้คิดถึงท้าวปาจิต ณ จุดนั้นเป็นที่ตั้งเมืองนางรอง ปัจจุบันแต่เดิมชื่อ "นั่งร้อง" คือเป็นที่ที่นางอรพิมนั่งร้องไห้ เจ้าชายปาจิตติดตามนางอรพิมไปถึง เมืองพิมายเป็นเวลาที่พระเจ้าพรมทัตจัดพิธีอภิเษก สมรสกับนางอรพิมและเป็นช่วงเวลาที่จะส่งตัวนางอรพิมเข้าหอพอดี นางอรพิมเมื่อเห็นเจ้าชายปาจิตก็ดีใจ จึงร้องว่า "พี่มา" และได้ตั้งเมืองนี้ขึ้นว่าพี่มา ต่อมาเพี้ยนเป็นพิมาย
เจ้าชายปาจิตได้ฆ่าท้าวพรหมทัตตายแล้วพานางอรพิมหนีออกจากเมืองพิมายเดินทางกลับนครธม แต่มีอุปสรรคนานัปประการจนพลัดพรากจากกัน นางอรพิมคิดว่าคงไม่มีโอกาสพบกันอีกจึงขอแปลงเพศเป็นชาย บวชเป็นพระจนได้เป็นสังฆราช การแปลงเพศก่อนบวชได้นำลักษณะของหญิงฝากไว้กับต้นไม้คือ ต้นงิ้วป่า หนามงิ้ว จึงมีลักษณะเหมือน "นม" สตรี ส่วนเครื่องหมายเพศหญิงนำไปฝากกับต้นมะกอกโคก (ตามภาษาลาว) แต่ภาษาเขมรเรียกว่าต้น ขะนุย ขมอยจ์ ซึ่งมีอยู่ตามภูเขาไฟ เช่น พนมรุ้ง ต่อมานางอรพิมในร่างของสังฆราช ได้มาอยู่ที่นครจำบาก และได้วาดภาพเรื่องราวความเป็นมาของนาง ไว้ที่ศาลาที่พักคนเดินทาง ท้าวปาจิตเดินทางระหกระเหิน มาถึงศาลาที่พักนี้ได้พบภาพเรื่องราวก็รู้ว่านาง อรพิมอยู่ที่เมืองนี้ จึงได้ตามหาจนพบกับนางอรพิม จึงพากันเดินทางกลับไป เมืองพิมายเพื่อเผาศพท้าว พรหมทัตและได้ครองรักกันสืบมา
คุณค่า / แนวคิด / สารพ
....................เป็นนิทานพื้นบ้านที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง กับตำนานชื่อบ้านชื่อเมืองในท้องถิ่นแถบจังหวัดนครราชสีมา และบุรีรัมย์ เป็นนิทานแสดงให้เห็นอานุภาพของความมั่นคงต่อคนรัก ความมานะพยายามบากบั่นต่อ อุปสรรคนานาประการ จนได้ครองคู่กันในที่สุด

3 ความคิดเห็น:

  1. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always be love. _/|\_

    ตอบลบ
  2. ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always beloved. _/|\_

    ตอบลบ
  3. ลูกเจ้าพ่อลำมาศ12 มกราคม 2566 เวลา 06:27

    เป็นไปได้ยากมากที่พระเจ้าพรหมทัตจะเดินทางไปพักแรมที่เขาพนมรุ้ง (ด้วยเหตุผลที่ฟังมาจากยายของผมที่เล่าต่อๆ กันมาจากรุ่นทวด) ความจริงก็อาจเป็นไปได้ ยายผมบอกว่า ท้าวปาจิตอยู่พิมาย นางอรพิมอยู่นางรอง พระเจ้าพรหมทัตอยู่ที่เขาพนมรุ้ง ถ้าเรียงลำเหตุการณ์อย่างละเอียด ก็จะเข้าใจได้ว่า เรื่องราวไม่ได้ลงไปไกลถึงนครธมเลย เป็นเพียงการค้าและรัฐเครือญาติ ยากมากที่คนสมัยนั้นใครจะลงทุนข้ามเขามาหาสาว และยิ่งเป็นพระโอรสนี่โดนดักปล้นก่อนแล้วครับ ท้าวปาจิตนำขันหมากผ่านบ้านผมครับเมืองกงรถ-เมืองถ่ายจาน

    ตอบลบ