กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นชายชาวนาคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีพ่อค้าคนหนึ่งเที่ยวค้าขายด้วยการบรรทุกสินค้าบนหลังลา ไปถึงหมู่บ้านหนึ่งแล้วก็จะเอาหนังราชสีห์คลุมหลังลา ปล่อยไปกินข้าวสาลีและข้าวเหนียวของชาวบ้าน ส่วนตนเองก็จะแบกสินค้าขายในหมู่บ้านนั้น ชาวนาเห็นลากินข้าวก็ไม่กล้าเข้าไปไล่เพราะนึกว่าเป็นราชสีห์
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้านั้นไปขายสิ่งของถึงหมู่บ้านนั้นแล้วก็ทำโดยทำนนองนั้นอีก ลาได้ลงไปกินข้าวกล้าของชาวนา ชาวนาเห็นลานั้นแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปไล่เพราะนึกว่าเป็นราชสีห์ จึงกลับเข้าไปบ้านบอกญาติพี่น้องมาช่วยกันไล่ราชสีห์ ต่างคนต่างก็ถืออาวุธทั้งเป่าสังข์ รัวกลอง โห่ร้องไป ลาได้ยินเสียงนั้นกลัวตายจึงร้องออกมาเป็นเสียงลา พระโพธิสัตว์พอรู้ว่ามันเป็นลาไม่ใช่ราชสีห์จึงร้องบอกชาวบ้านว่า “นี่มันไม่ใช่เสียงราชสีห์ดอก ไม่ใช่เสียงเสือโคร่ง ไม่ใช่เสียงเสือเหลือ มันเป็นเสียงลาคลุมหนังราชสีห์ นี่”
พอทราบว่าเป็นลาเท่านั้น ชาวบ้านก็รุมทุบตีจนลาตายแล้วเอาหนังราชสีห์ไป พ่อค้ากลับมาเห็นเหตุการณ์นั้นพอดีจึงกล่าวเป็นคาถาว่า “ลาเอาหนังราชสีห์คลุมตัว เที่ยวกินข้าวเหนียวอัน เขียวสดเป็นเวลานาน (เพราะ)มันร้องออกมานั่นแหละ จึงทำร้ายตัวเอง”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าได้คิดหลอกลวงผู้อื่นเลี้ยงชีพ ผลที่สุดจะได้รับความทุกข์ยากลำบาก
อย่าได้คิดหลอกลวงผู้อื่นเลี้ยงชีพ ผลที่สุดจะได้รับความทุกข์ยากลำบาก
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always be love. _/|\_
ททมาโน ปิโยโหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
ตอบลบA giver is always beloved. _/|\_