ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภเสียงแสดงความแร้นแค้นอันน่าสพึงกลัวที่พระเจ้าโกศลได้สดับในเวลาเที่ยงคืน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษีบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าหิมพานต์ ต่อมาปีหนึ่งได้เข้าไปพำนักอยู่ในสวนหลวงของพระเจ้าพรหมทัต ผู้ปกครองเมืองพาราณสี โดยที่ระราชาไม่ทรงทราบได้ ในคืนหนึ่ง เวลาเที่ยงคืนขณะที่พระราชากำลังบรรทมอยู่นั้นได้สดับเสียบ ๘ เสียงติดต่อกันไม่ขาดสาย คือ
๑. เสียงนกกระยางตัวหนึ่งในสวนหลวงร้อง
๒. แม่กาอาศัยอยู่ที่เสาระเนียดโรงช้างร้อง
๓. แมลงภู่ที่ช่อฟ้าเรือนหลวงร้อง
๔. นกดุเหว่าที่เลี้ยงไวในเรือนหลวงร้อง
๕. เนื้อที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวงร้อง
๖. ลิงที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวงร้อง
๗. กินนร (อมนุษย์ในเทพนิยายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก) ร้อง
๘. พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เปล่งเสียงอุทานขึ้น
๑. เสียงนกกระยางตัวหนึ่งในสวนหลวงร้อง
๒. แม่กาอาศัยอยู่ที่เสาระเนียดโรงช้างร้อง
๓. แมลงภู่ที่ช่อฟ้าเรือนหลวงร้อง
๔. นกดุเหว่าที่เลี้ยงไวในเรือนหลวงร้อง
๕. เนื้อที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวงร้อง
๖. ลิงที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวงร้อง
๗. กินนร (อมนุษย์ในเทพนิยายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก) ร้อง
๘. พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เปล่งเสียงอุทานขึ้น
พระองค์เมื่อสดับเสียงเหล่านี้แล้วตกพระทัยสะดุ้งกลัว ในวันรุ่งขึ้งจึงรับสั่งให้พราหมณ์โหรหลวงเข้าเฝ้าสอบถามถึงเภทภัยพวกโหรหลวงดูฤกษ์แล้วถวายบังคมว่า “อันตรายจักมีแก่พระองค์พระเจ้าข้า” แล้วแนะนำให้ทำการบูชายัญสัตว์อย่างละ ๔ ตัวพระราชาทรงอนุญาตให้ทำตามนั้น
สมัยนั้น มีชายหนุ่มลูกศิษย์ของหัวหน้าพราหมณ์บูชายัญคนหนึ่งเป็นผู้มีปัญญาฉลาดเฉลียว จึงเข้าไปหาอาจารย์พร้อมอ้อนวอนว่า “อาจารย์ การบูชายัญด้วยสัตว์ ขอท่านอย่าได้ทำเลนนะท่านอาจารย์” อาจารย์ตอบว่า “เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ถ้าเราไม่ทำการบูชาแล้วเราจะมีอาหารที่ดี ๆ รับประทานได้อย่างไร”
ชายหนุ่ม “อาจารย์ ขอท่านอย่าเห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วไปตกนรกเลยนะ” พวกพราหมณ์ได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็โกรธหาว่าเขาขัดลาภ
ชายหนุ่ม “อาจารย์ ขอท่านอย่าเห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วไปตกนรกเลยนะ” พวกพราหมณ์ได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็โกรธหาว่าเขาขัดลาภ
ชายหนุ่มกลัวมีอันตรายแก่ตนเองจึงขอตัวเข้าเมืองไปแสวงหานักบวชเพื่อจะให้ไปห้ามพระราชาไม่ให้กระทำการบูชายัญ ได้แวะเข้าไปหาฤๅษี ในสวนหลวงนั้น ด้วยมั่นใจว่าจะเป็นผู้ที่พระราชาให้ความเคารพนับถือ เรียนให้ฤๅษีทราบว่า “พระคุณเจ้า ท่านไม่คิดจะสงเคราะห์ชีวิตสัตว์บ้างหรือ พระราชามีรับสั่งให้ฆ่าสัตว์บูชายัญในวันนี้ ท่านช่วยปลดเปลื้องความทุกข์แก่สัตว์น้อยใหญ่จะไม่สมควรอยู่หรือ” พระฤๅษีตอบว่า”ก็ถูกต้องล่ะพ่อหนุ่ม แต่ว่าพระราชาไม่รู้จักเรา และเราก็ไม่รู้จักพระราชาเช่นเดียวกัน”
ชายหนุ่ม “ว่าแต่ว่า พระคุณเจ้ารู้ผลของเสียงที่พระราชาทรงสดับหรือไม่”
พระฤๅษี “ใช่เรารู้”
ชายหนุ่ม “เมื่อรู้ทำไมไม่กราบทูลพระราชาล่ะ”
พระฤๅษี “พ่อหนุ่ม ถ้าพระราชาทรงเสด็จมาที่นี้ เราก็จะกราบทูลให้ทรงทราบ”
ชายหนุ่ึ่มรีบเข้าไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบว่ามีฤๅษีตนหนึ่งมาพำนักอยู่ที่สวนหลวง ทราบเสียงที่พระองค์ทรงสดับว่า มีผลเป็นอย่างไร พระราชาทรงเสด็จไปสวนหลวงโดยเร็วไว ไหว้ฤๅษีแล้วถามถึงเสียงเหล่านั้น พระฤๅษีกราบทูลให้ทรงทราบว่า “มหาบพิตร.. จะไม่มีอันตรายอะไรแก่พระองค์เลย เพราะได้สดับเสียงเหล่านั้น นกกระยางตัวหนึ่งที่สวนหลวงไม่ได้เหยื่อ หิวอาหารจึงร้องขึ้นเป็นเสียงแรก ถ้าพระองค์จะเมตตาต่อมัน ก็จงชำระสวนให้สะอาดแล้วปล่อยน้ำให้เต็มสระเถิด ” พระราชารับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งไปกระทำตามนั้น
พระฤๅษีทูลต่อว่า “แม่กาตัวหนึ่งที่เสาพะเนียดโรงช้างโศกเศร้าคิดถึงลูกน้อย ๒ ตัวที่ตายไป จึงร้องเป็นเสียงที่ ๒ สาเหตุเพราะนายคราญช้างชื่อพันธุระที่ตาบอดข้างหนึ่ง เวลาขี่ช้างออกจากโรงมักจะเอาขอตีถูกแม่กาบ้างลูกกาบ้าง รื้อรังมันบ้าง แม่กาได้รับความลำบากจึงร้องขอให้ตาของนายคราญช้างนั้นบอดทั้ง ๒ ข้าง ถ้าพระองค์จะเมตตาต่อมัน จงเรียกนายพันธุระมาให้เลิกทำพฤติกรรมนั้นเสียเถิด”
พระราชารับสั่งให้หาตัวนายพันธุระมาเข้าเฝ้า ทรงปริภาษแล้วไล่ออกไป ทรงตั้งคนอื่นเป็นนายควาญช้างแทน
พระฤๅษีทูลต่อว่า “แมลงภู่ตัวหนึ่งที่ช่อฟ้ามหาปราสาทกัดกินกระพี้ไม้หมดแล้วไม่อาจจะกัดกินแก่นไม้ได้ เมื่อไม่ได้อาหารและบินออกไปที่อื่นไม่ได้ จึงร้องออกไปเป็นเสียงที่ ๓ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตาต่อมันจงให้คนนำมันออกจากช่อฟ้านั้นเถิด” พระราชารับสั่งให้ทหารคนหนึ่งไปนำแมลงภู่ออกจากช่อฟ้าแล้วปล่อยไป
พระฤๅษีทูลต่อว่า “นกดุเหว่าตัวหนึ่งคิดถึงป่าที่ตนเคยอยู่อาศัยว่า ‘เมื่อไรหนอเราจึงจะพ้นกรงนี้ ได้ไปสู่ป่าที่ร่มเย็นของเรา’ จึงร้องขึ้นไปเป็นเสียงที่ ๔ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตามัน จงปล่อยมันเถิด” พระราชารับสั่งให้นายพรานคนหนึ่งนำมันไปปล่อยที่ของมันตามเดิม
พระฤๅษีทูลต่อว่า “เนื้อตัวหนึ่งในเรือนหลวงที่พระองค์เลี้ยงไว้ มันเป็นพญาเนื้อ เมื่อคิดถึงนางเนื้อของตนจึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๕ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตาก็ปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้นำมันไปปล่อยที่เดิม
พระฤๅษีทูลต่อว่า “มีลิงตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในเรือนหลวงมีความกำหนัดต้องการผสมพันธุ์กับฝูงลิงในป่า ดิ้นรนอยากจะไปจึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๖ ขอพระองค์ทรงปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้ทำตามนั้น
พระฤๅษีทูลต่อว่า “มีกินนรตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในเรือนหลวงคิดถึงนางกินรี ดิ้นรนเพราะอำนาจกิเลส จึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๗ ขอพระองค์ทรงปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้ทำตามนั้น
พระฤๅษีทูลต่อว่า “มหาบพิตร เสียง ๘ เป็นเสียงอุทานของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่อายุสังขารจะสิ้นลง จึงเหาะมาจากภูเขายังถิ่นมนุษย์จึงได้ปรินิพพานที่โคนไม้รังในสวนหลวงของพระองค์ เวลามาถึงยอดปราสาทของพระองค์ได้เปล่งเสียงอุทานขึ้น ขอเชิญพระองค์เสด็จไปปลงศพท่านด้วยเถิด” ทูลจบก็นำพาพระราชาไปยังที่นั้น พระราชาพร้อมหมู่พลได้กำการบูชาศพพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ของหอม สั่งให้งดการบูชายัญ ให้ตีกลองประกาศห้ามฆ่าสัตว์ในเมือง ให้เล่นมหรสพและทำการสักการะศพของพระปัจเจกพุทธเจ้าตลอด ๗ วัน พระฤๅษีได้แสดงธรรมแก่พระราชาไม่ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทแล้วก็กลับเข้าป่าหิมพานต์ตามเดิม
ชายหนุ่ม “ว่าแต่ว่า พระคุณเจ้ารู้ผลของเสียงที่พระราชาทรงสดับหรือไม่”
พระฤๅษี “ใช่เรารู้”
ชายหนุ่ม “เมื่อรู้ทำไมไม่กราบทูลพระราชาล่ะ”
พระฤๅษี “พ่อหนุ่ม ถ้าพระราชาทรงเสด็จมาที่นี้ เราก็จะกราบทูลให้ทรงทราบ”
ชายหนุ่ึ่มรีบเข้าไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบว่ามีฤๅษีตนหนึ่งมาพำนักอยู่ที่สวนหลวง ทราบเสียงที่พระองค์ทรงสดับว่า มีผลเป็นอย่างไร พระราชาทรงเสด็จไปสวนหลวงโดยเร็วไว ไหว้ฤๅษีแล้วถามถึงเสียงเหล่านั้น พระฤๅษีกราบทูลให้ทรงทราบว่า “มหาบพิตร.. จะไม่มีอันตรายอะไรแก่พระองค์เลย เพราะได้สดับเสียงเหล่านั้น นกกระยางตัวหนึ่งที่สวนหลวงไม่ได้เหยื่อ หิวอาหารจึงร้องขึ้นเป็นเสียงแรก ถ้าพระองค์จะเมตตาต่อมัน ก็จงชำระสวนให้สะอาดแล้วปล่อยน้ำให้เต็มสระเถิด ” พระราชารับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งไปกระทำตามนั้น
พระฤๅษีทูลต่อว่า “แม่กาตัวหนึ่งที่เสาพะเนียดโรงช้างโศกเศร้าคิดถึงลูกน้อย ๒ ตัวที่ตายไป จึงร้องเป็นเสียงที่ ๒ สาเหตุเพราะนายคราญช้างชื่อพันธุระที่ตาบอดข้างหนึ่ง เวลาขี่ช้างออกจากโรงมักจะเอาขอตีถูกแม่กาบ้างลูกกาบ้าง รื้อรังมันบ้าง แม่กาได้รับความลำบากจึงร้องขอให้ตาของนายคราญช้างนั้นบอดทั้ง ๒ ข้าง ถ้าพระองค์จะเมตตาต่อมัน จงเรียกนายพันธุระมาให้เลิกทำพฤติกรรมนั้นเสียเถิด”
พระราชารับสั่งให้หาตัวนายพันธุระมาเข้าเฝ้า ทรงปริภาษแล้วไล่ออกไป ทรงตั้งคนอื่นเป็นนายควาญช้างแทน
พระฤๅษีทูลต่อว่า “แมลงภู่ตัวหนึ่งที่ช่อฟ้ามหาปราสาทกัดกินกระพี้ไม้หมดแล้วไม่อาจจะกัดกินแก่นไม้ได้ เมื่อไม่ได้อาหารและบินออกไปที่อื่นไม่ได้ จึงร้องออกไปเป็นเสียงที่ ๓ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตาต่อมันจงให้คนนำมันออกจากช่อฟ้านั้นเถิด” พระราชารับสั่งให้ทหารคนหนึ่งไปนำแมลงภู่ออกจากช่อฟ้าแล้วปล่อยไป
พระฤๅษีทูลต่อว่า “นกดุเหว่าตัวหนึ่งคิดถึงป่าที่ตนเคยอยู่อาศัยว่า ‘เมื่อไรหนอเราจึงจะพ้นกรงนี้ ได้ไปสู่ป่าที่ร่มเย็นของเรา’ จึงร้องขึ้นไปเป็นเสียงที่ ๔ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตามัน จงปล่อยมันเถิด” พระราชารับสั่งให้นายพรานคนหนึ่งนำมันไปปล่อยที่ของมันตามเดิม
พระฤๅษีทูลต่อว่า “เนื้อตัวหนึ่งในเรือนหลวงที่พระองค์เลี้ยงไว้ มันเป็นพญาเนื้อ เมื่อคิดถึงนางเนื้อของตนจึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๕ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตาก็ปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้นำมันไปปล่อยที่เดิม
พระฤๅษีทูลต่อว่า “มีลิงตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในเรือนหลวงมีความกำหนัดต้องการผสมพันธุ์กับฝูงลิงในป่า ดิ้นรนอยากจะไปจึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๖ ขอพระองค์ทรงปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้ทำตามนั้น
พระฤๅษีทูลต่อว่า “มีกินนรตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในเรือนหลวงคิดถึงนางกินรี ดิ้นรนเพราะอำนาจกิเลส จึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๗ ขอพระองค์ทรงปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้ทำตามนั้น
พระฤๅษีทูลต่อว่า “มหาบพิตร เสียง ๘ เป็นเสียงอุทานของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่อายุสังขารจะสิ้นลง จึงเหาะมาจากภูเขายังถิ่นมนุษย์จึงได้ปรินิพพานที่โคนไม้รังในสวนหลวงของพระองค์ เวลามาถึงยอดปราสาทของพระองค์ได้เปล่งเสียงอุทานขึ้น ขอเชิญพระองค์เสด็จไปปลงศพท่านด้วยเถิด” ทูลจบก็นำพาพระราชาไปยังที่นั้น พระราชาพร้อมหมู่พลได้กำการบูชาศพพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ของหอม สั่งให้งดการบูชายัญ ให้ตีกลองประกาศห้ามฆ่าสัตว์ในเมือง ให้เล่นมหรสพและทำการสักการะศพของพระปัจเจกพุทธเจ้าตลอด ๗ วัน พระฤๅษีได้แสดงธรรมแก่พระราชาไม่ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทแล้วก็กลับเข้าป่าหิมพานต์ตามเดิม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ปัญหาทุกปัญหามีทางออกและมีวิธีแก้ที่ถูกต้องถ้าได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น