กัจจานิโคตตชาดก ในกาลไหนๆ ธรรมย่อมไม่ตาย
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคนหนึ่ง จึงได้ตรัสเรื่องนี้ดังนี้.
ได้ยินว่า อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น เป็นลูกผู้ดีเมืองสาวัตถี เป็นคนมีมรรยาทดี เมื่อบิดาตายแล้วเขาบูชามารดาเหมือนเทวดา บำรุงมารดาด้วยการขวนขวายจัดน้ำล้างหน้า บ้วนปาก ไม้สีฟัน น้ำอาบ น้ำล้างเท้าเป็นต้น และด้วยข้าวยาคูแลภัตรเป็นอาทิ ครั้งหนึ่งมารดากล่าวกะเขาว่า ลูกรัก เจ้ามีการงานซึ่งเป็นเรื่องของฆราวาสมากมาย จงหาหญิงที่มีตระกูลเสมอกันคนหนึ่งเป็นภรรยาเขาจักเลี้ยงดูแม่ ส่วนเจ้าจักได้ทำการงานของตัวไป เขากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ฉันหวังประโยชน์สุขสำหรับตน จึงบำรุงเลี้ยงแม่ คนอื่นใครเล่าจักบำรุงเลี้ยงได้อย่างนี้ มารดากล่าวว่า ลูกรัก เจ้าควรทำการงานที่ให้ตระกูลเจริญ เขากล่าวว่า ฉันไม่ต้องการครองเรือน ฉันจักบำรุงเลี้ยงแม่ เวลาแม่สิ้นชีพแล้วฉันจักบวช
ลำดับนั้น มารดาของเขาแม้อ้อนวอนบ่อยๆ ก็ไม่ได้ดังใจ จึงไม่ถือความพอใจของเขาเป็นเกณฑ์ นำหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกันมาให้เขา เขาก็มิได้คัดค้านมารดา ได้อยู่ร่วมกันกับหญิงนั้น แม้หญิงนั้นก็คิดว่า สามีของเราบำรุงเลี้ยงมารดาด้วยความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ แม้เราก็ควรจักบำรุงเลี้ยงท่าน เมื่อเราทำอย่างนี้ก็จักเป็นที่รักของสามี คิดดังนี้แล้วก็บำรุงแม่ผัวโดยเคารพ
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคิดว่า หญิงนี้ บำรุงเลี้ยงมารดาของเราโดยเคารพ จึงนับแต่นั้นมาเขาได้ให้ของกินที่มีรสอร่อยที่ได้มาๆ แก่นางผู้เดียว ครั้นเวลาต่อมา หญิงนั้นคิดว่าบุรุษผู้นี้ ให้ของกินที่มีรสอร่อยๆ ที่ได้มาแก่เราเท่านั้น เขาคงจักต้องการขับไล่มารดาเป็นแน่ เราจักทำอุบายขับไล่แก่เขา
นางลืมตัวคิดไปโดยไม่ไตร่ตรองอย่างนี้ วันหนึ่ง จึงบอกสามีว่า คุณพี่ เมื่อพี่ออกไปข้างนอก มารดาของพี่ด่าฉัน เขาได้นิ่งเสีย นางคิดว่าเราจักใส่โทษหญิงแก่นี้ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อนางจะให้ข้าวยาคู ก็ให้ที่ร้อนจัดบ้าง เย็นจัดบ้าง ไม่เค็มบ้าง เค็มจัดบ้าง เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนู ข้าวยาคูร้อนจัด หรือเค็มจัด นางก็เติมน้ำเย็นใส่เสีย จนเต็ม เมื่อแม่ผัวบอกอีกว่า เย็นมากไป เค็มมากไป นางก็ส่งเสียงขึ้นว่า เมื่อกี้แม่บอกว่า ร้อนจัด เค็มจัด ใครจักสามารถทำให้ถูกใจแม่ได้ แม้น้ำสำหรับอาบ นางก็ต้มจนร้อนจัดแล้วราดบนหลัง เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนู หลังแม่ไหม้หมดแล้ว นางก็เอาน้ำเย็นเติมใส่เสียจนเต็ม เมื่อแม่ผัวบอกว่า เย็นจัดไป แม่หนู นางก็เที่ยวพูดกับ ชาวบ้านว่า แม่ผัวฉันพูดว่า น้ำสำหรับอาบร้อนจัดอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วกลับร้องขึ้นอีกว่า เย็นจัดไป ใครจักสามารถเอาใจหญิงแก่คนนี้ได้
เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนู เตียงนอนของแม่มีเลือดชุม นางก็นำออกมาแล้ว เอาเตียงของตนเคาะลงบนเตียงนั้น บอกว่าฉันเคาะแล้ว แล้วก็นำกลับไปตั้งไว้ตามเดิม แม่ผัวผู้เป็นมหาอุบาสิกาถูกเลือดกัด ต้องนั่งอยู่ตลอด คืน พอรุ่งสว่างจึงพูดว่า แม่หนู ฉันถูกเลือดกัดตลอดคืน นางก็เถียงว่า เมื่อวานฉันก็ได้เคาะเตียงของแม่ ใครจักอาจช่วยเหลือการงานของคนเช่นนี้ได้ นางคิดว่า คราวนี้เราจักให้ลูกชายเขาใส่โทษ จึงแกล้งบ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูกเรี่ยลาดไว้ในที่นั้นๆ เมื่อสามีถามว่า ใครทำเรือนนี้ให้สกปรกไปหมด นางก็กล่าวว่า มารดาของท่านทำอย่างนี้ ฉันบอกว่าอย่าทำเลย ก็พาลทะเลาะ ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับหญิงกาลกรรณีเช่นนี้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจักให้ฉันอยู่
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาได้ฟังคำของนางแล้วกล่าวว่า น้องรักเธอยังสาวอยู่ อาจที่จะไปดำรงชีพอยู่ในที่ใดๆ ได้ ส่วนแม่ของฉันเป็นคนแก่ทุพพลภาพ ฉันเท่านั้นเป็นที่พึ่งของแม่ เธอจงออกจากบ้านไปสู่ตระกูลของตน นางได้ฟังคำของสามีแล้วมีความกลัว คิดว่า เราไม่อาจแยกสามีของเราจากมารดาได้ มารดาเป็นที่รักของเขาโดยส่วนเดียว ถ้าเราไปสู่เรือนแห่งตระกูล เราจักต้องอยู่อย่างเป็นหม้าย ได้รับแต่ความทุกข์เท่านั้น เราจักปฏิบัติให้แม่ผัวโปรดปรานเหมือนแต่ก่อน ตั้งแต่นั้นมา นางได้ปฏิบัติแม่ผัวเหมือนดังก่อนทีเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้นไปสู่พระวิหารเชตวัน เพื่อฟังพระธรรม ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระบรมศาสดาตรัสถามว่า อุบาสกท่านไม่ประมาทในบุญกรรม มิใช่หรือ ท่านบำเพ็ญมาตาปิตุปัฏฐานกิจมิใช่หรือ ? เขากราบทูลเรื่องทั้งหมดแด่พระศาสดาว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาของข้าพระองค์นำหญิงในตระกูลคนหนึ่งมาเพื่อข้าพระองค์ โดยที่ข้าพระองค์ไม่ชอบใจเลย นางนั้นได้ทำอนาจารต่างๆ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงอย่างนี้นางก็ไม่อาจจะแยกข้าพระองค์จากมารดาได้ เดี๋ยวนี้นางได้บำรุงเลี้ยงมารดาโดยเคารพ
พระศาสดาทรงสดับด้วยคำของอุบาสกนั้นแล้ว มีพระดำรัสว่า อาวุโส เดี๋ยวนี้เธอไม่กระทำตามคำของหญิงนั้น แต่เมื่อก่อนเธอได้ขับไล่มารดาของเธอตามคำของนาง แต่ได้อาศัยเราจึงได้นำมารดามาสู่เรือน บำรุงเลี้ยงอีก อุบาสกทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี กุลบุตรของตระกูลหนึ่ง เมื่อบิดาตายแล้ว เขาบูชามารดาเหมือนเทวดา ปฏิบัติมารดาโดยทำนองดังกล่าวแล้ว เรื่องทั้งหมดมีเนื้อความพิสดารตามทำนองที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล จับความตอนนี้ว่า ก็เมื่อหญิงนั้น กล่าวกะสามีว่า ฉันไม่อาจอยู่ร่วมกับหญิงกาลกรรณีเช่นนี้ได้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจะให้ฉันอยู่ กุลบุตรนั้นเชื่อถ้อยคำของหญิงนั้น คิดว่า เป็นความผิดของแม่เราคนเดียวจึงกล่าวกะมารดาว่า แม่ แม่ก่อการทะเลาะขึ้นในเรือนนี้เป็นนิตย์ แม่จงออกจากเรือนนี้ไปอยู่ในที่อื่นตามชอบใจเถิด
มารดาพูดว่า ดีแล้ว แล้วร้องไห้ออกจากบ้านไปอาศัยตระกูลที่เป็นเพื่อนกันตระกูลหนึ่งทำงานรับจ้างเขาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยความลำบาก ในเมื่อนางทำการทะเลาะกับแม่ผัวในเรือนจนแม่ผัวออกจากบ้านไปแล้ว นางก็ได้ตั้งครรภ์ นางบอกกับสามีและเที่ยวพูดกับชาวบ้านว่า เมื่อหญิงกาลกรรณีนั้นอยู่ในเรือนฉันไม่ได้ตั้งครรภ์ เดี๋ยวนี้ฉันได้มีครรภ์แล้ว ต่อมานางคลอดบุตรแล้วกล่าวกะสามีที่รักว่า เมื่อมารดาของท่านอยู่ในเรือนฉันไม่ได้บุตร เดี๋ยวนี้ฉันได้แล้ว ท่านจงรู้ว่ามารดาของท่านเป็นกาลกรรณีด้วยเหตุนี้เถิด ฝ่ายหญิงผู้เป็นมารดาได้ข่าวว่า เขาว่ากันว่า หญิงสะใภ้ได้บุตรในเวลาที่เราถูกไล่ออกจากบ้าน นางจึงคิดว่าในโลกนี้ธรรมคงจักสูญไปแน่แล้ว ถ้าธรรมยังไม่สูญ ผู้ที่โบยตีมารดาแล้วขับไล่ออกจากบ้านไม่ควรได้บุตร ไม่ควรเป็นอยู่อย่างสบาย เราจักถวายมตกภัตต์ (คือภัตรเพื่อผู้ตาย) แก่ธรรม
วันหนึ่ง นางถืองา แป้ง ข้าวสาร ถาดสำรับหนึ่ง และทัพพีไปป่าช้าผีดิบ เอาศีรษะมนุษย์สามศีรษะมาทำเตา ก่อไฟขึ้นแล้วลงน้ำสระหัว บ้วนปากเสร็จแล้วมาที่เตา สยายผมแล้วเริ่มซาวข้าวสาร
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวสักกเทวราช ธรรมดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท ขณะนั้นพระองค์ตรวจดูหมู่สัตวโลก เห็นหญิงนั้นกำลังมีความทุกข์ ประสงค์จะถวายมตกภัตต์แก่ธรรม ด้วยเข้าใจว่าธรรมได้สูญเสียแล้ว จึงทรงดำริว่า วันนี้เราจักแสดงความสามารถของเรา จึงได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ทำเป็นเดินทางไป ครั้นเห็นหญิงนั้น จึงแวะไปยืนใกล้นาง กล่าวว่านี่แน่ะแม่คุณ ไม่มีธรรมดาที่ไหน ที่หุงหาอาหารกันในป่าช้าท่านจะเอาข้าวสุกคลุกงา ที่ทำให้สุกในป่าช้านี้ไปทำอะไร ดังนี้ เมื่อจะเริ่มสนทนา จึงกล่าวคาถา ที่ ๑ ว่า:
[๑๑๒๑] ดูกรแม่กัจจานี เธอสระผม นุ่งห่มผ้าขาวสะอาด ยกถาดสำรับขึ้นสู่
เตากระโหลกหัวผี ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสารทำไม ข้าวสุกคลุกงา
จักมีไว้เพราะเหตุอะไร?
ลำดับนั้น หญิงนั้นเมื่อจะบอกความแก่ท้าวสักกเทวราช ได้ กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:
[๑๑๒๒] ดูกรพราหมณ์ ข้าวสุกคลุกงาซึ่งทำให้สุกดีนี้ มีไว้เพื่อจะบริโภค ก็หาไม่
ธรรม คือ ความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และสุจริตธรรม ๓ ประการได้
สูญไปเสียแล้ว วันนี้ ดิฉันจักกระทำการบูชาแก่ธรรมนั้น ในท่ามกลาง
ป่าช้า.
ต่อจากนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๓ ว่า:
[๑๑๒๓] ดูกรแม่กัจจานี เธอจงใคร่ครวญเสียก่อนแล้ว จึงทำการงาน ใครบอก
แก่เธอว่า ธรรมสูญเสียแล้ว ธรรมอันประเสริฐเหมือนท้าวสหัสนัย
เทวราชผู้มีอาณุภาพหาผู้เปรียบมิได้ ย่อมไม่ตายในกาลไหนๆ.
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:
[๑๑๒๔] ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ในข้อที่ว่าธรรมสูญนี้ ดิฉันมั่นใจเอาเอง ในข้อ
ที่ว่า ธรรมไม่มี ดิฉันยังสงสัย เดี๋ยวนี้คนผู้ชั่วช้าย่อมมีความสุข เช่น
ลูกสะใภ้ของดิฉันเป็นหมัน เขาทุบตีขับไล่ดิฉันแล้วคลอดลูก บัดนี้ เขา
เป็นใหญ่ในตระกูลทั้งหมด ดิฉันถูกทอดทิ้ง ไม่มีที่พึ่ง อยู่แต่ลำพังผู้
เดียว.
ต่อแต่นั้น ท้าวสักกะได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:
[๑๑๒๕] เรายังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย มา ณ ที่นี้เพื่อประโยชน์แก่เธอโดยตรง ลูก
สะใภ้คนใดทุบตีขับไล่เธอออกแล้วคลอดลูก เราจะกระทำลูกสะใภ้คน
นั้นพร้อมกับลูก ให้ละเอียดเป็นเถ้าธุลี.
นางได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า เราพูดอะไรไป เราจักทำอะไรที่ทำให้หลานของเราจะไม่ตาย แล้วกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า:
[๑๑๒๖] ข้าแต่ท้าวเทวราช พระองค์ทรงยินดีเสด็จมาในที่นี้ เพื่อประโยชน์แก่
หม่อมฉันโดยตรงอย่างนี้ ขอให้หม่อมฉัน บุตร ลูกสะใภ้ และหลานจง
ยินดีสมัครสมานอยู่เรือนร่วมกันเถิด.
ลำดับนั้น ท้าวสักเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๘ แก่นางว่า:
[๑๑๒๗] ดูกรแม่กาติยานี เธอยินดีอย่างนั้นก็ตามใจเธอ ถึงจะถูกทุบตีขับไล่ก็ไม่
ละธรรม คือเมตตาในพวกเด็กๆ ขอให้เธอ บุตร ลูกสะใภ้ และ
หลาน จงยินดีสมัครสมานอยู่เรือนร่วมกันเถิด.
ก็แหละท้าวสักกเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็ประดับตกแต่ง พระองค์ประทับยืนอยู่บนอากาศด้วยอานุภาพของพระองค์ แล้วตรัสว่า ดูก่อนแม่กัจจานี เธออย่ากลัวเลย ทั้งลูก และลูกสะใภ้ของเธอจักมา ด้วยอานุภาพของเราจักขอขมาโทษในระหว่างทาง แล้วจักพาท่านไป ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่วิมานของพระองค์
ด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช บันดาลให้ลูกสะใภ้ ระลึกถึงคุณของมารดา เขาพากันถามคนในบ้านว่า มารดาของเราไปไหน ? ครั้นได้ทราบว่าเดินทางไปป่าช้า จึงพากันเดินทางไปป่าช้า พลางรำพรรณไปว่า แม่ แม่ พอเห็นมารดาก็หมอบลงที่เท้ากล่าวขอขมาโทษว่า ดูก่อนแม่ ขอแม่ได้โปรดยกโทษให้แก่ลูกเถิด ขออย่าได้ถือโทษเลย แม้มารดาก็รับหลานมาอุ้ม ทั้งหมดต่างมีความปราโมทย์พากัน กลับบ้านอยู่กันด้วยความสามัคคีแต่นั้นมา ด้วยประการฉะนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถานี้ว่า:
[๑๑๒๘] นางกาติยานี ยินดีสมัครสมานกับลูกสะใภ้ อยู่เรือนร่วมกันแล้ว ลูก
และหลานต่างช่วยกันบำรุง เพราะท้าวสักกเทวราชทรงอนุเคราะห์.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ในเวลาจบสัจธรรม อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น ได้เป็นพระโสดาบัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในบัดนี้ แม้ภรรยาของเขาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาในบัดนี้ ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
ได้ยินว่า อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น เป็นลูกผู้ดีเมืองสาวัตถี เป็นคนมีมรรยาทดี เมื่อบิดาตายแล้วเขาบูชามารดาเหมือนเทวดา บำรุงมารดาด้วยการขวนขวายจัดน้ำล้างหน้า บ้วนปาก ไม้สีฟัน น้ำอาบ น้ำล้างเท้าเป็นต้น และด้วยข้าวยาคูแลภัตรเป็นอาทิ ครั้งหนึ่งมารดากล่าวกะเขาว่า ลูกรัก เจ้ามีการงานซึ่งเป็นเรื่องของฆราวาสมากมาย จงหาหญิงที่มีตระกูลเสมอกันคนหนึ่งเป็นภรรยาเขาจักเลี้ยงดูแม่ ส่วนเจ้าจักได้ทำการงานของตัวไป เขากล่าวว่า ดูก่อนแม่ ฉันหวังประโยชน์สุขสำหรับตน จึงบำรุงเลี้ยงแม่ คนอื่นใครเล่าจักบำรุงเลี้ยงได้อย่างนี้ มารดากล่าวว่า ลูกรัก เจ้าควรทำการงานที่ให้ตระกูลเจริญ เขากล่าวว่า ฉันไม่ต้องการครองเรือน ฉันจักบำรุงเลี้ยงแม่ เวลาแม่สิ้นชีพแล้วฉันจักบวช
ลำดับนั้น มารดาของเขาแม้อ้อนวอนบ่อยๆ ก็ไม่ได้ดังใจ จึงไม่ถือความพอใจของเขาเป็นเกณฑ์ นำหญิงที่มีชาติตระกูลเสมอกันมาให้เขา เขาก็มิได้คัดค้านมารดา ได้อยู่ร่วมกันกับหญิงนั้น แม้หญิงนั้นก็คิดว่า สามีของเราบำรุงเลี้ยงมารดาด้วยความอุตสาหะอันยิ่งใหญ่ แม้เราก็ควรจักบำรุงเลี้ยงท่าน เมื่อเราทำอย่างนี้ก็จักเป็นที่รักของสามี คิดดังนี้แล้วก็บำรุงแม่ผัวโดยเคารพ
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาคิดว่า หญิงนี้ บำรุงเลี้ยงมารดาของเราโดยเคารพ จึงนับแต่นั้นมาเขาได้ให้ของกินที่มีรสอร่อยที่ได้มาๆ แก่นางผู้เดียว ครั้นเวลาต่อมา หญิงนั้นคิดว่าบุรุษผู้นี้ ให้ของกินที่มีรสอร่อยๆ ที่ได้มาแก่เราเท่านั้น เขาคงจักต้องการขับไล่มารดาเป็นแน่ เราจักทำอุบายขับไล่แก่เขา
นางลืมตัวคิดไปโดยไม่ไตร่ตรองอย่างนี้ วันหนึ่ง จึงบอกสามีว่า คุณพี่ เมื่อพี่ออกไปข้างนอก มารดาของพี่ด่าฉัน เขาได้นิ่งเสีย นางคิดว่าเราจักใส่โทษหญิงแก่นี้ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อนางจะให้ข้าวยาคู ก็ให้ที่ร้อนจัดบ้าง เย็นจัดบ้าง ไม่เค็มบ้าง เค็มจัดบ้าง เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนู ข้าวยาคูร้อนจัด หรือเค็มจัด นางก็เติมน้ำเย็นใส่เสีย จนเต็ม เมื่อแม่ผัวบอกอีกว่า เย็นมากไป เค็มมากไป นางก็ส่งเสียงขึ้นว่า เมื่อกี้แม่บอกว่า ร้อนจัด เค็มจัด ใครจักสามารถทำให้ถูกใจแม่ได้ แม้น้ำสำหรับอาบ นางก็ต้มจนร้อนจัดแล้วราดบนหลัง เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนู หลังแม่ไหม้หมดแล้ว นางก็เอาน้ำเย็นเติมใส่เสียจนเต็ม เมื่อแม่ผัวบอกว่า เย็นจัดไป แม่หนู นางก็เที่ยวพูดกับ ชาวบ้านว่า แม่ผัวฉันพูดว่า น้ำสำหรับอาบร้อนจัดอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วกลับร้องขึ้นอีกว่า เย็นจัดไป ใครจักสามารถเอาใจหญิงแก่คนนี้ได้
เมื่อแม่ผัวบอกว่า แม่หนู เตียงนอนของแม่มีเลือดชุม นางก็นำออกมาแล้ว เอาเตียงของตนเคาะลงบนเตียงนั้น บอกว่าฉันเคาะแล้ว แล้วก็นำกลับไปตั้งไว้ตามเดิม แม่ผัวผู้เป็นมหาอุบาสิกาถูกเลือดกัด ต้องนั่งอยู่ตลอด คืน พอรุ่งสว่างจึงพูดว่า แม่หนู ฉันถูกเลือดกัดตลอดคืน นางก็เถียงว่า เมื่อวานฉันก็ได้เคาะเตียงของแม่ ใครจักอาจช่วยเหลือการงานของคนเช่นนี้ได้ นางคิดว่า คราวนี้เราจักให้ลูกชายเขาใส่โทษ จึงแกล้งบ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูกเรี่ยลาดไว้ในที่นั้นๆ เมื่อสามีถามว่า ใครทำเรือนนี้ให้สกปรกไปหมด นางก็กล่าวว่า มารดาของท่านทำอย่างนี้ ฉันบอกว่าอย่าทำเลย ก็พาลทะเลาะ ฉันไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับหญิงกาลกรรณีเช่นนี้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจักให้ฉันอยู่
อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาได้ฟังคำของนางแล้วกล่าวว่า น้องรักเธอยังสาวอยู่ อาจที่จะไปดำรงชีพอยู่ในที่ใดๆ ได้ ส่วนแม่ของฉันเป็นคนแก่ทุพพลภาพ ฉันเท่านั้นเป็นที่พึ่งของแม่ เธอจงออกจากบ้านไปสู่ตระกูลของตน นางได้ฟังคำของสามีแล้วมีความกลัว คิดว่า เราไม่อาจแยกสามีของเราจากมารดาได้ มารดาเป็นที่รักของเขาโดยส่วนเดียว ถ้าเราไปสู่เรือนแห่งตระกูล เราจักต้องอยู่อย่างเป็นหม้าย ได้รับแต่ความทุกข์เท่านั้น เราจักปฏิบัติให้แม่ผัวโปรดปรานเหมือนแต่ก่อน ตั้งแต่นั้นมา นางได้ปฏิบัติแม่ผัวเหมือนดังก่อนทีเดียว
อยู่มาวันหนึ่ง อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้นไปสู่พระวิหารเชตวัน เพื่อฟังพระธรรม ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระบรมศาสดาตรัสถามว่า อุบาสกท่านไม่ประมาทในบุญกรรม มิใช่หรือ ท่านบำเพ็ญมาตาปิตุปัฏฐานกิจมิใช่หรือ ? เขากราบทูลเรื่องทั้งหมดแด่พระศาสดาว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มารดาของข้าพระองค์นำหญิงในตระกูลคนหนึ่งมาเพื่อข้าพระองค์ โดยที่ข้าพระองค์ไม่ชอบใจเลย นางนั้นได้ทำอนาจารต่างๆ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงอย่างนี้นางก็ไม่อาจจะแยกข้าพระองค์จากมารดาได้ เดี๋ยวนี้นางได้บำรุงเลี้ยงมารดาโดยเคารพ
พระศาสดาทรงสดับด้วยคำของอุบาสกนั้นแล้ว มีพระดำรัสว่า อาวุโส เดี๋ยวนี้เธอไม่กระทำตามคำของหญิงนั้น แต่เมื่อก่อนเธอได้ขับไล่มารดาของเธอตามคำของนาง แต่ได้อาศัยเราจึงได้นำมารดามาสู่เรือน บำรุงเลี้ยงอีก อุบาสกทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี กุลบุตรของตระกูลหนึ่ง เมื่อบิดาตายแล้ว เขาบูชามารดาเหมือนเทวดา ปฏิบัติมารดาโดยทำนองดังกล่าวแล้ว เรื่องทั้งหมดมีเนื้อความพิสดารตามทำนองที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล จับความตอนนี้ว่า ก็เมื่อหญิงนั้น กล่าวกะสามีว่า ฉันไม่อาจอยู่ร่วมกับหญิงกาลกรรณีเช่นนี้ได้ เรือนนี้ท่านจะให้มารดาของท่านอยู่ หรือจะให้ฉันอยู่ กุลบุตรนั้นเชื่อถ้อยคำของหญิงนั้น คิดว่า เป็นความผิดของแม่เราคนเดียวจึงกล่าวกะมารดาว่า แม่ แม่ก่อการทะเลาะขึ้นในเรือนนี้เป็นนิตย์ แม่จงออกจากเรือนนี้ไปอยู่ในที่อื่นตามชอบใจเถิด
มารดาพูดว่า ดีแล้ว แล้วร้องไห้ออกจากบ้านไปอาศัยตระกูลที่เป็นเพื่อนกันตระกูลหนึ่งทำงานรับจ้างเขาเลี้ยงชีพอยู่ด้วยความลำบาก ในเมื่อนางทำการทะเลาะกับแม่ผัวในเรือนจนแม่ผัวออกจากบ้านไปแล้ว นางก็ได้ตั้งครรภ์ นางบอกกับสามีและเที่ยวพูดกับชาวบ้านว่า เมื่อหญิงกาลกรรณีนั้นอยู่ในเรือนฉันไม่ได้ตั้งครรภ์ เดี๋ยวนี้ฉันได้มีครรภ์แล้ว ต่อมานางคลอดบุตรแล้วกล่าวกะสามีที่รักว่า เมื่อมารดาของท่านอยู่ในเรือนฉันไม่ได้บุตร เดี๋ยวนี้ฉันได้แล้ว ท่านจงรู้ว่ามารดาของท่านเป็นกาลกรรณีด้วยเหตุนี้เถิด ฝ่ายหญิงผู้เป็นมารดาได้ข่าวว่า เขาว่ากันว่า หญิงสะใภ้ได้บุตรในเวลาที่เราถูกไล่ออกจากบ้าน นางจึงคิดว่าในโลกนี้ธรรมคงจักสูญไปแน่แล้ว ถ้าธรรมยังไม่สูญ ผู้ที่โบยตีมารดาแล้วขับไล่ออกจากบ้านไม่ควรได้บุตร ไม่ควรเป็นอยู่อย่างสบาย เราจักถวายมตกภัตต์ (คือภัตรเพื่อผู้ตาย) แก่ธรรม
วันหนึ่ง นางถืองา แป้ง ข้าวสาร ถาดสำรับหนึ่ง และทัพพีไปป่าช้าผีดิบ เอาศีรษะมนุษย์สามศีรษะมาทำเตา ก่อไฟขึ้นแล้วลงน้ำสระหัว บ้วนปากเสร็จแล้วมาที่เตา สยายผมแล้วเริ่มซาวข้าวสาร
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นท้าวสักกเทวราช ธรรมดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท ขณะนั้นพระองค์ตรวจดูหมู่สัตวโลก เห็นหญิงนั้นกำลังมีความทุกข์ ประสงค์จะถวายมตกภัตต์แก่ธรรม ด้วยเข้าใจว่าธรรมได้สูญเสียแล้ว จึงทรงดำริว่า วันนี้เราจักแสดงความสามารถของเรา จึงได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ทำเป็นเดินทางไป ครั้นเห็นหญิงนั้น จึงแวะไปยืนใกล้นาง กล่าวว่านี่แน่ะแม่คุณ ไม่มีธรรมดาที่ไหน ที่หุงหาอาหารกันในป่าช้าท่านจะเอาข้าวสุกคลุกงา ที่ทำให้สุกในป่าช้านี้ไปทำอะไร ดังนี้ เมื่อจะเริ่มสนทนา จึงกล่าวคาถา ที่ ๑ ว่า:
[๑๑๒๑] ดูกรแม่กัจจานี เธอสระผม นุ่งห่มผ้าขาวสะอาด ยกถาดสำรับขึ้นสู่
เตากระโหลกหัวผี ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสารทำไม ข้าวสุกคลุกงา
จักมีไว้เพราะเหตุอะไร?
ลำดับนั้น หญิงนั้นเมื่อจะบอกความแก่ท้าวสักกเทวราช ได้ กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า:
[๑๑๒๒] ดูกรพราหมณ์ ข้าวสุกคลุกงาซึ่งทำให้สุกดีนี้ มีไว้เพื่อจะบริโภค ก็หาไม่
ธรรม คือ ความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ และสุจริตธรรม ๓ ประการได้
สูญไปเสียแล้ว วันนี้ ดิฉันจักกระทำการบูชาแก่ธรรมนั้น ในท่ามกลาง
ป่าช้า.
ต่อจากนั้น ท้าวสักกเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๓ ว่า:
[๑๑๒๓] ดูกรแม่กัจจานี เธอจงใคร่ครวญเสียก่อนแล้ว จึงทำการงาน ใครบอก
แก่เธอว่า ธรรมสูญเสียแล้ว ธรรมอันประเสริฐเหมือนท้าวสหัสนัย
เทวราชผู้มีอาณุภาพหาผู้เปรียบมิได้ ย่อมไม่ตายในกาลไหนๆ.
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า:
[๑๑๒๔] ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ในข้อที่ว่าธรรมสูญนี้ ดิฉันมั่นใจเอาเอง ในข้อ
ที่ว่า ธรรมไม่มี ดิฉันยังสงสัย เดี๋ยวนี้คนผู้ชั่วช้าย่อมมีความสุข เช่น
ลูกสะใภ้ของดิฉันเป็นหมัน เขาทุบตีขับไล่ดิฉันแล้วคลอดลูก บัดนี้ เขา
เป็นใหญ่ในตระกูลทั้งหมด ดิฉันถูกทอดทิ้ง ไม่มีที่พึ่ง อยู่แต่ลำพังผู้
เดียว.
ต่อแต่นั้น ท้าวสักกะได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า:
[๑๑๒๕] เรายังเป็นอยู่ ยังไม่ตาย มา ณ ที่นี้เพื่อประโยชน์แก่เธอโดยตรง ลูก
สะใภ้คนใดทุบตีขับไล่เธอออกแล้วคลอดลูก เราจะกระทำลูกสะใภ้คน
นั้นพร้อมกับลูก ให้ละเอียดเป็นเถ้าธุลี.
นางได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า เราพูดอะไรไป เราจักทำอะไรที่ทำให้หลานของเราจะไม่ตาย แล้วกล่าวคาถาที่ ๗ ว่า:
[๑๑๒๖] ข้าแต่ท้าวเทวราช พระองค์ทรงยินดีเสด็จมาในที่นี้ เพื่อประโยชน์แก่
หม่อมฉันโดยตรงอย่างนี้ ขอให้หม่อมฉัน บุตร ลูกสะใภ้ และหลานจง
ยินดีสมัครสมานอยู่เรือนร่วมกันเถิด.
ลำดับนั้น ท้าวสักเทวราช จึงได้ตรัสคาถาที่ ๘ แก่นางว่า:
[๑๑๒๗] ดูกรแม่กาติยานี เธอยินดีอย่างนั้นก็ตามใจเธอ ถึงจะถูกทุบตีขับไล่ก็ไม่
ละธรรม คือเมตตาในพวกเด็กๆ ขอให้เธอ บุตร ลูกสะใภ้ และ
หลาน จงยินดีสมัครสมานอยู่เรือนร่วมกันเถิด.
ก็แหละท้าวสักกเทวราช ครั้นตรัสอย่างนี้แล้วก็ประดับตกแต่ง พระองค์ประทับยืนอยู่บนอากาศด้วยอานุภาพของพระองค์ แล้วตรัสว่า ดูก่อนแม่กัจจานี เธออย่ากลัวเลย ทั้งลูก และลูกสะใภ้ของเธอจักมา ด้วยอานุภาพของเราจักขอขมาโทษในระหว่างทาง แล้วจักพาท่านไป ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาท ดังนี้แล้ว เสด็จไปสู่วิมานของพระองค์
ด้วยอานุภาพของท้าวสักกเทวราช บันดาลให้ลูกสะใภ้ ระลึกถึงคุณของมารดา เขาพากันถามคนในบ้านว่า มารดาของเราไปไหน ? ครั้นได้ทราบว่าเดินทางไปป่าช้า จึงพากันเดินทางไปป่าช้า พลางรำพรรณไปว่า แม่ แม่ พอเห็นมารดาก็หมอบลงที่เท้ากล่าวขอขมาโทษว่า ดูก่อนแม่ ขอแม่ได้โปรดยกโทษให้แก่ลูกเถิด ขออย่าได้ถือโทษเลย แม้มารดาก็รับหลานมาอุ้ม ทั้งหมดต่างมีความปราโมทย์พากัน กลับบ้านอยู่กันด้วยความสามัคคีแต่นั้นมา ด้วยประการฉะนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถานี้ว่า:
[๑๑๒๘] นางกาติยานี ยินดีสมัครสมานกับลูกสะใภ้ อยู่เรือนร่วมกันแล้ว ลูก
และหลานต่างช่วยกันบำรุง เพราะท้าวสักกเทวราชทรงอนุเคราะห์.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาตรัสจบลงแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ในเวลาจบสัจธรรม อุบาสกผู้เลี้ยงมารดานั้น ได้เป็นพระโสดาบัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า อุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในครั้งนั้น ได้มาเป็นอุบาสกผู้เลี้ยงมารดาในบัดนี้ แม้ภรรยาของเขาในครั้งนั้น ได้มาเป็นภรรยาในบัดนี้ ท้าวสักกเทวราชได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น