ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ได้ตรัสว่า “สาธุ สาธุ โบราณบัณฑิตได้ทำอุปการะแก่ผู้มิใช่ญาติ เพื่อตอบแทนบุญคุณส่วนมารดาบิดาถือเป็นภาระของภิกษุโดยแท้” แล้วทรงนำอดีตนิทานมาสาธก ว่า…
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพยาแร้งเลี้ยงดูบิดามารดาอยู่ที่คิชฌบรรพต ต่อมาวันหนึ่งเกิดพายุฝนห่าใหญ่พัดกระหน่ำ ฝูงแร้งไม่สามารถทนพายุฝนได้ พากันบินหนีตายเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองพาราณสี
วันนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง ออกจากเมืองจะไปอาบน้ำเห็นฝูงแร้งเปียกมอมแมมอยู่ จึงหอบไปรวมกันในที่แห่งหนึ่ง ก่อไฟให้ผิงแล้วนำไปไว้ที่ป่าช้า นำเนื้อโคมาเลี้ยงพวกแร้งเป็นอย่างดี
เมื่อพายุฝนหยุดแล้ว ฝูงแร้งมีร่างกายเข้มแข็งแล้วพากันบินกลับรังที่ภูเขาตามเดิม วันหนึ่งฝูงแร้งจับกลุ่มปรึกษากันว่า
“พวกเรารอดตายมาได้ ก็เพราะการช่วยเหลือของเศรษฐีคนหนึ่ง พวกเราจะตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างไรดี” จึงตกลงร่วมกันว่า
“ตั้งแต่วันนี้ไป แร้งตัวใดได้ผ้าหรือเครื่องนุ่งห่มใด ๆ ก็พึงคาบไปทิ้งที่บ้านเศรษฐีนะ”
นับแต่วันนั้นมาฝูงแร้งก็ดูทีเผลอของพวกมนุษย์ที่ตากผ้าไว้ที่กลางแดด ต่างพากันโฉบเฉี่ยวเอาผ้าไปทิ้งไว้ที่บ้านเศรษฐีเป็นประจำ เศรษฐีพอเห็นผ้านั้นแล้ว ก็นำไปเก็บไว้ในที่ส่วนหนึ่งต่างหากไม่นำเอามาใช้
เมื่อพายุฝนหยุดแล้ว ฝูงแร้งมีร่างกายเข้มแข็งแล้วพากันบินกลับรังที่ภูเขาตามเดิม วันหนึ่งฝูงแร้งจับกลุ่มปรึกษากันว่า
“พวกเรารอดตายมาได้ ก็เพราะการช่วยเหลือของเศรษฐีคนหนึ่ง พวกเราจะตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างไรดี” จึงตกลงร่วมกันว่า
“ตั้งแต่วันนี้ไป แร้งตัวใดได้ผ้าหรือเครื่องนุ่งห่มใด ๆ ก็พึงคาบไปทิ้งที่บ้านเศรษฐีนะ”
นับแต่วันนั้นมาฝูงแร้งก็ดูทีเผลอของพวกมนุษย์ที่ตากผ้าไว้ที่กลางแดด ต่างพากันโฉบเฉี่ยวเอาผ้าไปทิ้งไว้ที่บ้านเศรษฐีเป็นประจำ เศรษฐีพอเห็นผ้านั้นแล้ว ก็นำไปเก็บไว้ในที่ส่วนหนึ่งต่างหากไม่นำเอามาใช้
ชาวเมืองเกิดความเดือดร้อนเพราะฝูงแร้งลักผ้าไป จึงเข้ากราบทูลพระราชา พระองค์รับสั่งให้ดักบ่วงและข่ายเพื่อจับพญาแร้ง เมื่อชาวเมืองจับพญาแร้งได้แล้ว จะนำไปถวายพระราชา เศรษฐีก็กำลังจะเข้าเฝ้าพระราชาเช่นกัน จึงเดินตามกันไป
พระราชาตรัสถามพญาแร้งว่า “พวกเจ้าคาบผ้าชาวเมืองไปหรือ?”
พญาแร้งตอบว่า “จริง พระเจ้าข้า”
พระราชา “พวกเจ้าเอาไปให้ใคร”
พญาแร้ง “ให้เศรษฐี พระเจ้าข้า”
พระราชา “ทำไมละ”
พญาแร้ง “เพราะเศรษฐีช่วยเหลือชีวิตของพวกข้าพระองค์จึงต้องตอบแทนบุญคุณ .. พระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสถามอีกว่า “เขาลือกันว่า แร้งเห็นซากศพได้ ถึง ๑๐๐ โยชน์มิใช่หรือ เหตุไร พวกเจ้ามาใกล้ข่ายและบ่วงแล้วก็ไม่รู้สึกตัวเล่า”
พญาแร้งตอบเป็นคาถาว่า
“เมื่อใดสัตว์มีความเสื่อมในขณะจะสิ้นชีวิต เมื่อนั้นนถึงจะมาใกล้ข่ายและบ่วงก็ไม่รู้”
พระราชาตรัสถามเศรษฐีว่า “เป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ท่านเศรษฐี”
เศรษฐีได้กราบทูลว่า “จริงพระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยแร้งตัวนี้ไปเถิด ข้าพระองค์จะคืนผ้าเหล่านั้นแก่เจ้าของเดิม พระเจ้าข้า”
พระราชาจึงรับสั่งให้ปล่อยแร้งไปตามเดิม เศรษฐีก็คืนผ้าให้แก่เจ้าของเดิมไป
พระราชาตรัสถามพญาแร้งว่า “พวกเจ้าคาบผ้าชาวเมืองไปหรือ?”
พญาแร้งตอบว่า “จริง พระเจ้าข้า”
พระราชา “พวกเจ้าเอาไปให้ใคร”
พญาแร้ง “ให้เศรษฐี พระเจ้าข้า”
พระราชา “ทำไมละ”
พญาแร้ง “เพราะเศรษฐีช่วยเหลือชีวิตของพวกข้าพระองค์จึงต้องตอบแทนบุญคุณ .. พระเจ้าข้า”
พระราชาตรัสถามอีกว่า “เขาลือกันว่า แร้งเห็นซากศพได้ ถึง ๑๐๐ โยชน์มิใช่หรือ เหตุไร พวกเจ้ามาใกล้ข่ายและบ่วงแล้วก็ไม่รู้สึกตัวเล่า”
พญาแร้งตอบเป็นคาถาว่า
“เมื่อใดสัตว์มีความเสื่อมในขณะจะสิ้นชีวิต เมื่อนั้นนถึงจะมาใกล้ข่ายและบ่วงก็ไม่รู้”
พระราชาตรัสถามเศรษฐีว่า “เป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ท่านเศรษฐี”
เศรษฐีได้กราบทูลว่า “จริงพระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยแร้งตัวนี้ไปเถิด ข้าพระองค์จะคืนผ้าเหล่านั้นแก่เจ้าของเดิม พระเจ้าข้า”
พระราชาจึงรับสั่งให้ปล่อยแร้งไปตามเดิม เศรษฐีก็คืนผ้าให้แก่เจ้าของเดิมไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : บุญคุณต้องตอบแทนแม้แต่สัตว์เดรัจฉานยังรู้จักตอบแทนบุญคุณ และอย่าได้ประมาทในวัยเพราะความตายไม่เคยเว้นใคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น