วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

สุภมานพบุตรของโตเทยยพราหมณ์

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

สุภมานพบุตรของโตเทยยพราหมณ์
    เรื่องกรรมดีกรรมชั่วนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงแก่สุภมานพบุตรของโตเทยยพราหมณ์ แห่งเมืองสาววัตถี โตเทยยพราหมณ์เป็นคนที่มีความตระหนี่ มีสมบัติมากแต่ตระหนี่ไม่มีศรัทธา เป็นคนมิจฉาทิฏฐิมีความเห็นผิด พระพุทธองค์เสด็จไปโปรดโตเทยยพราหมณ์หลายครั้ง แต่ถูกไล่ออกจากบ้าน ต่อมาโตเทยยพราหมณ์นั้นตาย
     ด้วยที่เป็นคนมัวเมาลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติไม่ได้กระทำบุญ กระทำกุศล โตเทยยพราหมณ์นั้น จึงไปเกิดเป็นสุนัขในบ้านของตนเป็นสุนัขตัวผู้เมื่อสุนัขนั้นโตขึ้น วันหนึ่งพระพุทธเจ้าและพระอานนท์ เสด็จไปบิณฑบาตที่บ้านของโตเทยยพราหมณ์ สุนัขนั้นได้มาเห่าหอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณว่า “สุนัขนี้คือ โตเทยยพราหมณ์นั่นเอง ที่เคยด่าเคยว่าเราตถาคต” จึงตรัสว่า “ดูก่อนโตเทยยพราหมณ์ เมื่อก่อนนี้เจ้าก็ด่าว่าเรา เมื่อตายไปเกิดเป็นสุนัขแล้วยังมาเห่าอีกหรือ” เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้น สุภมานพบุตรชายได้ยินเข้าก็โกรธต่อพระพุทธเจ้าหาว่าดูถูกพ่อของตนว่ามาเกิดเป็นสุนัข
     พระพุทธองค์ ทรงต้องการจะให้สุภมานพพิสูจน์ดู จึงทรงให้สุภมานพเอาสุนัขตัวนั้นไปอาบน้ำ แล้วก็เอาอาหารอย่างดีให้กิน เมื่อกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงบันดาลด้วยพุทธานุภาพให้สุนัขนั้นระลึกชาติได้และให้บอกขุมทรัพย์ที่ฝังไว้โตเทยยพราหมณ์ได้บอกขุมทรัพย์ที่ฝังหลายอย่างเช่น ถาดทองคำ รองเท้าทองคำ ร่มทองคำ เป็นต้น ฝังเอาไว้ก่อนตายไม่ได้บอกบุตรชาย สุนัขนั้นเมื่อระลึกชาติได้แล้ว ก็ไปยังที่ที่ตนฝังขุมทรัพย์เอาไว้เอาตีนไปตะกุยดิน สุภมานพก็ไปขุดดู พบสมบัติหลายอย่าง จึงเชื่อว่าพ่อของตนไปเกิดเป็นสุนัขจริง มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงได้ทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุใดบางคนที่เกิดมาในโลกนี้ จึงเป็นคนมั่งมีด้วยสมบัติ เพราะเหตุใดบางคนยากจน เพราะเหตุใดบางคนจึงรูปร่างสวย เพราะเหตุใด บางคนจึงขี้เหร่ เพราะเหตุใดบางคนอายุยืน เพราะเหตุใดบางคนอายุสั้น เพราะเหตุใดบางคนจึงมีปัญญาดี เพราะเหตุใดบางคนจึงโง่เขลา เพราะเหตุใดบางคนจึงมียศศักดิ์สูง เพราะเหตุใดบางคนจึงเป็นคนไร้ยศศักดิ์”
     พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ดูก่อนสุภมานพ บุคคลที่เกิดมาในชาตินี้เป็นคนมั่งมีทรัพย์สมบัติ ก็เพราะว่าในชาติปางก่อนเป็นคนเคยให้ทานไว้มาก มาในปัจจุบันนี้ก็เป็นคนมีความขยันหมั่นเพียร ส่วนคนที่เกิดมายากจนเพราะไม่ได้เคยให้ทานไว้ในชาติปางก่อน และในปัจจุบันก็เป็นคนเกียจคร้านไม่ทำงาน
     คนที่เกิดมารูปร่างสวยนั้น เพราะชาติก่อนเป็นคนที่เคยรักษาศีลมีเมตตากรุณา เป็นคนไม่โกรธง่าย เป็นเหตุให้เกิดมาเป็นคนมีรูปร่างสวยส่วนคนที่ขี้เหร่นั้นเป็นคนไม่รักษาศีล เป็นคนฉุนเฉียวง่าย เป็นคนมักโกรธจึงเป็นเหตุให้รูปร่างขี้เหร่
     คนที่เกิดมาแล้วอายุยืน ก็เพราะเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนสัตว์ และไม่ทำลายชีวิตของสัตว์ ส่วนคนที่เกิดมาแล้วอายุสั้นนั้น เพราะว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมากทำลายชีวิตสัตว์มาก จึงทำให้อายุสั้น
     บางคนที่เกิดมาแล้วมีสติปัญญานั้นก็เพราะว่า ในชาติก่อนได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาการมามาก สดับรับฟังพระธรรมมามาก ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมมามาก ได้ให้ธรรมเป็นทานมากเป็นเหตุให้มีสติปัญญา ส่วนบางคนโง่เขลาเบาปัญญาเพราะไม่เคยเล่าเรียนศึกษาวิชาการ ไม่ฟังธรรม ไม่ให้ธรรมะเป็นทานไม่เคยปฏิบัติธรรมะ
     บางคนที่เกิดมามียศถาบรรดาศักดิ์สูงนั้น เพราะว่าในชาติก่อนเป็นผู้ที่ไม่อิจฉาริษยาใคร ใครได้ดีก็แสดงความยินดีด้วย ส่วนคนที่เกิดมามียศถาบรรดาศักดิ์น้อยหรือไร้ยศถาบรรดาศักดิ์นั้น เพราะในชาติก่อนเป็นผู้อิจฉาริษยาผู้อื่น เห็นเขาได้ดีแล้วทนไม่ได้ หาทางริดรอนไม่อยากให้คนอื่นได้ดี
     พระองค์ได้ทรงแสดงเหตุของกรรม ที่ได้กระทำให้บุคคลดีและชั่วไว้ดังนี้ ดังพุทธภาษิตว่า “กัมมุนา วตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
     แรงกลแรงยนต์แรงจักร           แรงช้างแรงยักษ์แรงหนักหนา
     แรงอื่นดาษดื่นในโลกา             ก็ไม่แรงแข็งกล้ากว่าแรงกรรม
     ตายแล้วก็เวียนเกิดกำเนิดใหม่     ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏหมดทางหนี
     ตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายแต่ละที   จะเกิดดีตายดีอยู่ที่กรรม

1 ความคิดเห็น:

  1. ททมาโน ปิโย โหติ #ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก
    A giver is always beloved. _/|\_

    ตอบลบ