วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

ปู่สังกะสา ย่าสังกะสี

กาลครั้งหนี่งนานมาแล้ว ได้เกิดแผ่นดินและสิ่งมีชีวิตขึ้นในโลกนี้ มีทั้งสวรรค์นรก อเวจี ครุฑ นาค เทวดา พระอินทร์ พระพรหม และพระอาทิตย์พระจันทร์แต่ยังไม่มีแสงส่องพื้นโลก ได้บังเกิดมีอากาศแปรปรวน มืดมัว นานเข้าก็บังเกิดมีเมฆ ควันลอยอยู่ในอากาศ มีลมแรงพัดเมฆควันลอยไปมา เคว้งคว้างไปทางเหนือทีหนึ่ง แล้วก็ลอยมาทางใต้หาทิศทางไม่ได้ เป็นอย่างนั้นอยู่นานแสนนานจึงได้บังเกิดเป็นน้ำ มหาสมุทร ในคัมภีร์เรียกว่า ” ปฐมมูล ปฐมกัป ”
ก่อนที่จะมีปลาอานนท์หนุนแผ่นดินนั้น มีเพียงมหาสมุทรลอยไปมาอยู่ในอากาศ ลมพัดลอยเคว้งคว้างไปมาหาทิศทางไม่ได้ ลมพัดน้ำอยู่นานจนเกิดเป็นแผ่นดินเล็ก ๆ คือ ” แผ่นดินท่อฮอยไก้ ต้นไม่ ท่อลำเทียน ” (เป็นคำในภาษาอีสาน หมายถึง แผ่นดินเท่ากับรอยกระจง และต้นไม้เท่าลำเทียน) ลมพัดจนแผ่นดินเล็ก ๆ นี้แยกออกเป็นสองส่วน ลอยไปในมหาสมุทร ล่วงเวลาต่อมาอีกนานแผ่นดินทั้งสองก็เริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้น บังเกิดมนุษย์ผู้ชายอยู่บนแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า
” ปู่สังไกยสา ”
และเกิดมนุษย์ผู้หญิงอีกแผ่นดินหนึ่งชื่อว่า
” ย่าสังไกยสี ”
มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้เกิดจากการรวมตัวของสรรพสิ่งต่าง ๆ ปั้นรูปสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตจริง ๆ มนุษย์คู่แรกทั้งสองนี้ได้สร้างสรรพสิ่งขึ้นในโลก
อยู่ต่อมาเกิดลมพายุพัดพาแผ่นดินทั้งสองลอยไปตามน้ำมาพบกัน ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี ก็ได้พูดคุยกัน และอยู่ด้วยกัน แล้วจึงคิดจะสร้างมนุษย์ชายหญิงน่าจะมีความสุขกว่าอยู่ผู้เดียวเหมือนแต่ก่อนที่แผ่นดินยังแยกกัน มนุษย์ชายหญิงที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างขึ้นมามากมาย รวมกันอยู่
ครั้นอยู่รวมกันนานวันเข้า ธรรมชาติก็ดลใจให้เกิดตัณหาแก่มนุษย์ทั้งหลาย คนที่มีตัณหาสมสู่กันจึงมีลูกหลานสืบต่อมา เพราะมีตัณหาสมสู่กันมนุษย์ที่ปู่สังไกยสา ย่าสังไกยสี สร้างมานั้นจึงมีรูปร่างเปลี่ยนเป็นแก่ชรา และมนุษย์ชายหญิงก็ยิ่งมากทวีคูณสืบต่อมาถึงทุกวันนี้
ในตำนานยังเล่าถึงการสร้างโลกสร้างจักรวาลของปู่ย่าทั้งสองว่า ครั้นสร้างมนุษย์ชายหญิงแล้ว ปู่ย่าทั้สองก็สร้างเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของจักรวาล มีทวีปทั้งสี่ คือ
=> ชมพูทวีป
=> อุตรกุรุทวีป
=> บรพวิเทหทวีป
=> และ อมรโคยานทวีป
อยู่ทั้งสี่ทิศของเขาพระสุเมรุ สร้างเขาสัตภัณฑ์คีรี 7 เทือกเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ (มี เนมินธร ยุคธร อิสินธร กรวิก สุทัสน์ อัสกัณ และวิตกคีรี) มีแม่น้ำล้อมรอบเขาทั้งเจ็ดคาดว่าจะเป็นทะเลสีทันดร หลังจากนั้นก็ให้พระอาทิตย์และพระจันทร์ส่องแสงและเดินรอบจักรวาล ทวีปทั้งสี่ก็ได้รับแสงอาทิตย์โดยครบถ้วน แล้วจึงเกิดราศี 12 ราศี และฤดูทั้งสาม มีพระอาทิตย์เป็นตาโลกมาตั้งแต่ปฐมกัป ชักรถผ่านเขาพระสุเมรุผ่านจักรวาลโดยรอบ และเดินเร็วกว่าพระจันทร์ พระจันทร์จึงถูกพระอาทิตย์บังแสงเกิดเป็นเดือนดับ (ข้างแรม) และหากพระอาทิตย์ไม่บังแสงจันทร์จะเกิดเดือนเพ็ญ (เดือนเต็มดวงในวันเพ็ญ)
ณ … ชมพูทวีป ที่เชิงเขาพระสุเมรุมีทางน้ำกมา 4 ทาง คือ ทางปากราชสีห์ ทางปากช้างแก้ว ทางปากม้าและทางปากวัวอุสุภราช ไหลรอบเขาพระสุเมรุออกมาผ่านโขดหิน ภูผาจนมาเป็น แม่น้ำมูล แม่น้ำโมง และแม่น้ำอโนมา มีสระอโนดาตน้ำใสสะอาด พื้นเป็นทรายเงินทรายทองริมท่าน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสีได้ตกแต่งเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทโธ (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แต่ไม่ได้ตั้งตนเป็นศาสดาสั่งสอนพระธรรม) และพวกฤาษี
ณ ที่แห่งนั้นได้เกิดดอกไม้งามสะพรั่งในบริเวณฝั่งน้ำ ทั้งแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิมหาสาคเรศ น้ำไหลเรื่อยต่อไป แผ่กว้างสาขาอยู่ในชมพูทวีป มีแม่น้ำของ(โขง) เป็นเค้าในภาคพื้นชมพูทวีปและมีเกาะลังกาอยู่ฟากน้ำ ปู่สังไกยสาย่าสังไกยสีเป็นสามีภรรยาที่สร้างสรรพสิ่งในโลก และได้สั่งสอนให้มนุษย์โลกตั้งตนอยู่ในศีล สร้างกุศลบำเพ็ญ เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์ หากใครอยากจะไปเกิดอยู่ในนรกอเวจี ก็ให้สร้างกรรมเวร จะได้จมอยู่ใต้นรกอเวจี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น