วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เสียงสัตว์ ๘ ชนิด

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภเสียงแสดงความแร้นแค้นอันน่าสพึงกลัวที่พระเจ้าโกศลได้สดับในเวลาเที่ยงคืน ได้ตรัสอดีตนิทานมาสธก ว่า…
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤๅษีบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าหิมพานต์ ต่อมาปีหนึ่งได้เข้าไปพำนักอยู่ในสวนหลวงของพระเจ้าพรหมทัต ผู้ปกครองเมืองพาราณสี โดยที่ระราชาไม่ทรงทราบได้ ในคืนหนึ่ง เวลาเที่ยงคืนขณะที่พระราชากำลังบรรทมอยู่นั้นได้สดับเสียบ ๘ เสียงติดต่อกันไม่ขาดสาย คือ
          ๑. เสียงนกกระยางตัวหนึ่งในสวนหลวงร้อง
          ๒. แม่กาอาศัยอยู่ที่เสาระเนียดโรงช้างร้อง
          ๓. แมลงภู่ที่ช่อฟ้าเรือนหลวงร้อง
          ๔. นกดุเหว่าที่เลี้ยงไวในเรือนหลวงร้อง
          ๕. เนื้อที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวงร้อง
          ๖. ลิงที่เลี้ยงไว้ในเรือนหลวงร้อง
          ๗. กินนร (อมนุษย์ในเทพนิยายท่อนบนเป็นมนุษย์ ท่อนล่างเป็นนก) ร้อง
          ๘. พระปัจเจกพุทธเจ้าได้เปล่งเสียงอุทานขึ้น
          พระองค์เมื่อสดับเสียงเหล่านี้แล้วตกพระทัยสะดุ้งกลัว ในวันรุ่งขึ้งจึงรับสั่งให้พราหมณ์โหรหลวงเข้าเฝ้าสอบถามถึงเภทภัยพวกโหรหลวงดูฤกษ์แล้วถวายบังคมว่า “อันตรายจักมีแก่พระองค์พระเจ้าข้า” แล้วแนะนำให้ทำการบูชายัญสัตว์อย่างละ ๔ ตัวพระราชาทรงอนุญาตให้ทำตามนั้น
          สมัยนั้น มีชายหนุ่มลูกศิษย์ของหัวหน้าพราหมณ์บูชายัญคนหนึ่งเป็นผู้มีปัญญาฉลาดเฉลียว จึงเข้าไปหาอาจารย์พร้อมอ้อนวอนว่า “อาจารย์ การบูชายัญด้วยสัตว์ ขอท่านอย่าได้ทำเลนนะท่านอาจารย์” อาจารย์ตอบว่า “เจ้าช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ถ้าเราไม่ทำการบูชาแล้วเราจะมีอาหารที่ดี ๆ รับประทานได้อย่างไร”
          ชายหนุ่ม “อาจารย์ ขอท่านอย่าเห็นแก่ปากแก่ท้องแล้วไปตกนรกเลยนะ” พวกพราหมณ์ได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็โกรธหาว่าเขาขัดลาภ
          ชายหนุ่มกลัวมีอันตรายแก่ตนเองจึงขอตัวเข้าเมืองไปแสวงหานักบวชเพื่อจะให้ไปห้ามพระราชาไม่ให้กระทำการบูชายัญ ได้แวะเข้าไปหาฤๅษี ในสวนหลวงนั้น ด้วยมั่นใจว่าจะเป็นผู้ที่พระราชาให้ความเคารพนับถือ เรียนให้ฤๅษีทราบว่า “พระคุณเจ้า ท่านไม่คิดจะสงเคราะห์ชีวิตสัตว์บ้างหรือ พระราชามีรับสั่งให้ฆ่าสัตว์บูชายัญในวันนี้ ท่านช่วยปลดเปลื้องความทุกข์แก่สัตว์น้อยใหญ่จะไม่สมควรอยู่หรือ” พระฤๅษีตอบว่า”ก็ถูกต้องล่ะพ่อหนุ่ม แต่ว่าพระราชาไม่รู้จักเรา และเราก็ไม่รู้จักพระราชาเช่นเดียวกัน”
          ชายหนุ่ม “ว่าแต่ว่า พระคุณเจ้ารู้ผลของเสียงที่พระราชาทรงสดับหรือไม่”
          พระฤๅษี “ใช่เรารู้”
          ชายหนุ่ม “เมื่อรู้ทำไมไม่กราบทูลพระราชาล่ะ”
          พระฤๅษี “พ่อหนุ่ม ถ้าพระราชาทรงเสด็จมาที่นี้ เราก็จะกราบทูลให้ทรงทราบ”
          ชายหนุ่ึ่มรีบเข้าไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบว่ามีฤๅษีตนหนึ่งมาพำนักอยู่ที่สวนหลวง ทราบเสียงที่พระองค์ทรงสดับว่า มีผลเป็นอย่างไร พระราชาทรงเสด็จไปสวนหลวงโดยเร็วไว ไหว้ฤๅษีแล้วถามถึงเสียงเหล่านั้น พระฤๅษีกราบทูลให้ทรงทราบว่า “มหาบพิตร.. จะไม่มีอันตรายอะไรแก่พระองค์เลย เพราะได้สดับเสียงเหล่านั้น นกกระยางตัวหนึ่งที่สวนหลวงไม่ได้เหยื่อ หิวอาหารจึงร้องขึ้นเป็นเสียงแรก ถ้าพระองค์จะเมตตาต่อมัน ก็จงชำระสวนให้สะอาดแล้วปล่อยน้ำให้เต็มสระเถิด ” พระราชารับสั่งให้อำมาตย์คนหนึ่งไปกระทำตามนั้น
          พระฤๅษีทูลต่อว่า “แม่กาตัวหนึ่งที่เสาพะเนียดโรงช้างโศกเศร้าคิดถึงลูกน้อย ๒ ตัวที่ตายไป จึงร้องเป็นเสียงที่ ๒ สาเหตุเพราะนายคราญช้างชื่อพันธุระที่ตาบอดข้างหนึ่ง เวลาขี่ช้างออกจากโรงมักจะเอาขอตีถูกแม่กาบ้างลูกกาบ้าง รื้อรังมันบ้าง แม่กาได้รับความลำบากจึงร้องขอให้ตาของนายคราญช้างนั้นบอดทั้ง ๒ ข้าง ถ้าพระองค์จะเมตตาต่อมัน จงเรียกนายพันธุระมาให้เลิกทำพฤติกรรมนั้นเสียเถิด”
          พระราชารับสั่งให้หาตัวนายพันธุระมาเข้าเฝ้า ทรงปริภาษแล้วไล่ออกไป ทรงตั้งคนอื่นเป็นนายควาญช้างแทน
          พระฤๅษีทูลต่อว่า “แมลงภู่ตัวหนึ่งที่ช่อฟ้ามหาปราสาทกัดกินกระพี้ไม้หมดแล้วไม่อาจจะกัดกินแก่นไม้ได้ เมื่อไม่ได้อาหารและบินออกไปที่อื่นไม่ได้ จึงร้องออกไปเป็นเสียงที่ ๓ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตาต่อมันจงให้คนนำมันออกจากช่อฟ้านั้นเถิด” พระราชารับสั่งให้ทหารคนหนึ่งไปนำแมลงภู่ออกจากช่อฟ้าแล้วปล่อยไป
          พระฤๅษีทูลต่อว่า “นกดุเหว่าตัวหนึ่งคิดถึงป่าที่ตนเคยอยู่อาศัยว่า ‘เมื่อไรหนอเราจึงจะพ้นกรงนี้ ได้ไปสู่ป่าที่ร่มเย็นของเรา’ จึงร้องขึ้นไปเป็นเสียงที่ ๔ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตามัน จงปล่อยมันเถิด” พระราชารับสั่งให้นายพรานคนหนึ่งนำมันไปปล่อยที่ของมันตามเดิม
          พระฤๅษีทูลต่อว่า “เนื้อตัวหนึ่งในเรือนหลวงที่พระองค์เลี้ยงไว้ มันเป็นพญาเนื้อ เมื่อคิดถึงนางเนื้อของตนจึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๕ ถ้าพระองค์จะทรงเมตตาก็ปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้นำมันไปปล่อยที่เดิม
          พระฤๅษีทูลต่อว่า “มีลิงตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในเรือนหลวงมีความกำหนัดต้องการผสมพันธุ์กับฝูงลิงในป่า ดิ้นรนอยากจะไปจึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๖ ขอพระองค์ทรงปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้ทำตามนั้น
          พระฤๅษีทูลต่อว่า “มีกินนรตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้ในเรือนหลวงคิดถึงนางกินรี ดิ้นรนเพราะอำนาจกิเลส จึงร้องขึ้นเป็นเสียงที่ ๗ ขอพระองค์ทรงปล่อยมันไปเถิด” พระราชารับสั่งให้ทำตามนั้น
          พระฤๅษีทูลต่อว่า “มหาบพิตร เสียง ๘ เป็นเสียงอุทานของพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งที่อายุสังขารจะสิ้นลง จึงเหาะมาจากภูเขายังถิ่นมนุษย์จึงได้ปรินิพพานที่โคนไม้รังในสวนหลวงของพระองค์ เวลามาถึงยอดปราสาทของพระองค์ได้เปล่งเสียงอุทานขึ้น ขอเชิญพระองค์เสด็จไปปลงศพท่านด้วยเถิด” ทูลจบก็นำพาพระราชาไปยังที่นั้น พระราชาพร้อมหมู่พลได้กำการบูชาศพพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ของหอม สั่งให้งดการบูชายัญ ให้ตีกลองประกาศห้ามฆ่าสัตว์ในเมือง ให้เล่นมหรสพและทำการสักการะศพของพระปัจเจกพุทธเจ้าตลอด ๗ วัน พระฤๅษีได้แสดงธรรมแก่พระราชาไม่ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทแล้วก็กลับเข้าป่าหิมพานต์ตามเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :  ปัญหาทุกปัญหามีทางออกและมีวิธีแก้ที่ถูกต้องถ้าได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น