วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พญาคันคาก” รบ “พญาแถน”

ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งหวงยิ่งอด เราไม่หวงเราไม่อด หมดเดี๋ยวก็มา
พญาคันคาก” รบ “พญาแถน”
เป็นตำนานเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้างทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงมานานกาเล ลูกหลานผู้เกิดใหม่ใหญ่ทีหลัง ไปเที่ยวบุญบั้งไฟ แล้วอาจจะสงสัยว่าทำไมน้อ บั้งไฟในขบวนแห่ของพี่น้องเฮาชาวอีสานตามหมู่บ้านตามตำบลต่าง ๆ นั้น ทำไมจึงติดหัวนาคเอาไว้บนหัวบั้งไฟ แล้วก็แต่งเอ้ด้วยลวดลายสีสันงามสุดที่ยิ่ง เหมือนตัวนาคเกร็ดนาคฉะนั้น จะเล่าสู่ฟัง
กาละเมื่อนานมาแล้ว – นับเนื่องเป็นอสงไขย สมัยเมื่อสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งมวลมนุษย์ , สัตว์สิ่ง, หินดินน้ำฟ้าตลอดแม้ป่าแดดทะเลฝน ต่างสื่อสารระหว่างกัน ด้วยภาษาเดียวกัน ต่างรู้เรื่อง เข้าใจไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะ ต่างจึงสุขอยู่สร้าง เสมอด้ำ ดั่งกัน เมืองสวรรค์ชั้นฟ้า มีพญาแถนเป็นใหญ่ อำนวยให้เกิดกาลเวลาแห่งฤดูต่าง ๆ พญาแถนเจ้า ได้เปิดประตูชั้นฟ้า ให้พญานาคเจ็ดตนไปลงเล่นน้ำสระหลวง ทำให้น้ำเฟือนเฟียดฟ้งลงโลกมาเป็นฝน นำความชุ่มเย็น ทำให้เกิดสุขสะดวกสบายในการเฮ็ดการสร้าง การอยู่การกิน
สรรพสิ่งทั้งหลายก็ให้ความเคารพยำเกรงและกระทำการบูชาต่อพญาแถนตลอดมา กาละนั้น ยังมีเมืองชื่อนครดอกไม้ ตั้งอยู่บนโลก พญาเมืองถือสัตย์ ตุ้มไพร่ฟ้า ให้สุขถ้วนอยู่เริง แม่เมืองให้กำเนิดบุตร ผิดเพศมนุษย์คือเป็นคันคากหรือเป็นคางคก เป็นที่หลากใจแก่ผู้คนทั้งหลาย หมอโหรได้ทำนายทายทักว่า คันคากน้อยเป็นผู้มีบุญญาธิการยิ่ง จงเลี้ยงดูให้ดีเถิด แล้วคันคากน้อยก็ค่อย ๆ เติบใหญ่ตามกาลเวลา หามีผู้ใดรังเกียจเดียดฉันท์ไม่ กระทั่ง เวลาล่วงไปสมควรแก่วัยเติบกล้า ท้าวคันคากก็ถอดคราบออก เป็นหนุ่มรูปงาม คราบคางคกก็กลายเป็นเกราะทองรองกาย พาให้เห็นเป็นองอาจ และท้าวคันคากก็ทรงสามารถเชิงยุทธพิชัย มีฤทธีศักดาเหนือกว่าไผ
เป็นที่ยำเกรงแก่เหล่าสัตว์เขี้ยวงาบกน้ำและบรรดาผู้มีเดชกล้าทั้งผอง ทั้งยังทรงบุญญะบารมีด้วยการรักษาสัตย์, ศีล, ทาน จนเป็นที่ยกย่องเคารพบูชาของสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั่วทั้งทีป พญาเมืองจึงยกให้ท้าวเป็นผู้ครองนครดอกไม้สืบต่อสันตติวงศ์ มนุษย์, สัตว์สิ่ง, หินดินฟ้าและป่าแดดทะเลฝน เมื่อต่างให้ความเคารพยกย่องบูชาต่อพญาคันคากแล้ว ก็ลืมละการกราบไหว้สาต่อพญาแถน เมื่อก่อนนี้จะทำการหากินหาอยากอันใด ก็ถวยแถนด้วยเครื่องไหว้บูชา หากบัดนี้, กลับละเลยขันห้าขันแปด เหล้าไหไก่โตแปนเปล่า ทำให้พญาแถนน้อยอกน้อยใจ จนกลายเป็นเคืองแค้นโกรธา
” อ้ายมนุสสาสรรพสิ่งทั้งหลาย มันไม่ยำเกรงเคารพต่อกูอย่างนี้เสียแล้วจำกูจักสั่งสอนมันเสียบ้าง ให้มันฮู้แฮงฟ้าพญาแถนเป็นใหญ่ ให้มันทุกข์แร้นแค้น แหงนหน้าเปล่าดาย”
แถนจึงปิดเมืองฟ้า ตันแปวพญานาค บ่ให้ขึ้นเหล่นน้ำ ให้เฟือนเฟียด เกิดฝน แล้วทั้งสากลโลกก็บังเกิดความแห้งแล้งทุรกันดาร ดินหินทราย สรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต่างก็ หอดหิวฮ้องโอดโอยทุกขะแหล่ง แล้งเลือดขุ่น ตายม้วยระบาดหงาย ดินและทรายหมกไหม้ ป่าก็วายสายธารแห้งกิ่น ๆ ลมปิ่นไง่ง้องเผาขั่วไหม้ชะเล
แล้วมนุสสาสรรพสิ่งจึงเปิดสภา มีพญาคันคากเป็นประธาน ค้นหาสาเหตุ รวบรวมปัญญาเพื่อหา
ทางแก้ไข สภาโสกันไปโสกันมา จนได้ทราบว่า เหล่าพญานาคทั้งเจ็ดตนถูกพญาแถนกีดกั้นปิดปล่องขึ้นสวรรค์ ฝนจึงไม่ตกลงมาตามกาลอันสมควรดังเคยเป็นมา
“อุเหม่…” พญาคันคากขึ้งโกรธโกรธาจนพุงป่อง ” ไฉนวา ญาแถนจึงไม่รู้หน้าที่ไม่ปฏิบัติธรรมจั่งซี้…การปฏิบัติหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าองค์ได๋ก็ตรัสเอาไว้เป็น หัวใจแห่งศาสนา ”
หมายความว่า ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ ผู้ปฏิบัติตนไม่เบียดเบียนผู้อื่นผู้ใด และทำหน้าที่ไปเป็นธรรมดาของการดำเนินชีวิต (เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต) ย่อมเกิดผลดี-สุข-สงบ-ร่มเย็น (เป็นธรรมะ )
แล้วพญาคันคากก็แต่งให้พญานกเค้าแมวเป็นทูตไปเจรจาแถน ขอให้แถนจงรักษาทำหน้าที่เปิดประตูสวรรค์ชั้นฟ้า ให้พญานาคเจ็ดตนได้ขึ้นไปเล่นน้ำสระหลวงตามที่เคยมา เพื่อดับทุกข์เข็ญเสียเถิด แต่พญาแถนแสนโกรธ ร้อยก็ไม่ยอมแสนก็ไม่ยอมโอนอ่อน ” ย้อนว่า สูบ่พากันย่านเคารพบูชากู สูพากันบูชาบักพญาคันคาก…เมื่อสูทุกข์เดือดฮ้อน ให้หันหน้าไปพึ่งมัน นั่นถ้อน… ” พญานกเค้าแมวนำความเจรจาล้มเหลวมาสู่สภาฟัง เหล่าสรรพสัตว์สรรพสิ่งได้ฟังยิ่งท้อแท้ และความโกรธกริ้วก็บังเกิดเป็นพายุ พญาคันคากประกาศสงครามต่อแถน เกณฑ์ส่ำสัตว์เขี้ยวงาน้ำและบกดาทัพ สัตว์ปีกระดมพล เหล่าเลื้อยคลานมีพญานาคเป็นเจ้าก็จัดเหล่าของตน สัตว์หกขาแปดขาบ้งกือต่างปลุกใจบ่เกรงย่าน
พญาคันคากบัญชาการให้พญาปลวกพาพวกก่อโพน เป็นโอ้นโญ้นโอ่นโหญ่นโพนต่อโพนไปถึงฟ้าหย่อนๆ สรรพสัตว์พากันไต่ต้อนแต้นถึงแถนฟ้าฟากสวรรค์ สงครามเทื่อนั้นเกิดสะเทือนเลื่อนลั่นระบาดทั่วจักรวาล สองชิงดีตีทัพ แผ่นดินไหวไฟฟาด น้ำก็เฟือนสมุทรฟื้น ลมก็หมุนน้าวป่า ฝนแสนห่าบ่มีเทื่อเหือดมื้อ ระดือเพี้ยนเปลี่ยนแปลง ผิดสำแดงแล้งฮ้ายบ่มีเหือดฮนทุกข์ ขุกเข็ญหันกลียุคมุ่นวายทะลายปิ้น เป็นจั่งซี้เจ็ดปีปลายเจ็ดเดือน คันคากแถนรบเรวกันบ่หยุดหย่อน บ่มีผ่อนเผือดหญ่อ ทั้งสองก้ำพ่ำเสมอ ท่านเอย
พญาคันคากพญาแถนรบสู้ตัวต่อตัวเจ็ดวันเจ็ดคืนก็ยังบ่มีผู้พ่ายผู้แพ้ ทั้งสองจึงท้าชนช้างกระทำยุทธหัตถี โดยพญาคันคากคิดอุบายให้พญานาคแฝงตัวไปในหางช้าง ในระหว่างชนช้าง พญาคันคากถูกพญาแถนเอาตะพดหล่อกั่วทุบตีตามร่างกายตามหัวจนโปดโนเต็มไปหมด สบโอกาสของช้างฟาดหาง พญานาคลอยละลิ่วไปรัดตัวพญาแถนจนตกจากช้างร้องโอดโอยพญาคันคากถีบถองทุบตีแก้มือที่ตนเสียทีถูกตีหัวปูดหัวโปเป็นตะปุ่มตะป่ำ จนพญาแถนร้องขอชีวิต สงครามจึงสงบราบคาบลง แผ่นดินหยุดไหวถล่ม ฝนฟ้าก็หยุดคะนอง ลมพายุอ่อนตัวสงบลง ฟ้าแจ้งจางปาง
แล้วก็มีการรื้อฟื้นคดี ว่าไฉนพญาแถนจึงไม่รักษาธรรม ไม่ทำหน้าที่เปิดปล่องสวรรค์ ให้พญานาคเจ็ดตนขึ้นไปเล่นน้ำทำให้ฝนแล้ง ก่อทุกข์กันดารต่อโลก แถนยอมรับผิดและสัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำอีก แต่ ก็ยังมีข้อกังขาว่า พญาแถนจะฮู้ได้จังใด๋ว่าถึงระดูฝนคนตกกล้าทำนาฮั่วไฮ่ เฮ็ดจังใด๋จังสิฮู้ฮอยฮูปประเพณี
พญาคันคากตรึกตรองแล้วจึงบอกว่า ถึงเวลาเดือนหกเฮาจะให้คนเฮ็ดบั้งไฟเพื่อให้พญานาคขี่ขึ้นมาเมืองฟ้า พญาแถนเห็นแล้วก็จงเปิดปล่องสวรรค์นั่นเถิด แต่นั้นมา คนก็จึงทำบั้งไฟตกแต่งเอ้ ให้พญานาคขี่ขึ้นฟ้าไปสร้างฝนในเมืองแถน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น